บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)คาดว่า กำไรก่อนหักภาษีและค่าใช้จ่าย(EBITDA)ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันในปีนี้จะออกมาดีขึ้นกว่าปี 51 ที่มี EBITDA จากผลประกอบการจริงจำนวน 5,610 ล้านบาท ขณะที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน(PQI)แล้วเสร็จและเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์
และบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกำไรสต๊อกน้ำมันตั้งแต่ไตรมาส 2/52 หลังจากราคาน้ำมันแตะระดับ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนจะเป็นเท่าใดนั้นขึ้นกับทิศทางราคาน้ำมัน และสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งค่าการกลั่นเฉลี่ยในไตรมาสนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับโครงการลงทุนผลิตเอทานอลนั้น บริษัทกำลังศึกษาที่จะดำเนินการแบบครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่การลงทุนปลูกพืชผลทางกการเกษตรทีจะใช้เป็นวัตถุดิบ ได้แก่ อ้อย และ มันสำปะหลัง ไปจนถึงการตั้งโรงงานผลิตมูลค่าราว 1.5-2.0 พันล้านบาท โดยอาจจะเข้าร่วมทุนราว 40% ซึ่งคาดว่าจะสรุปภายในปีนี้
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP คาดว่า ค่าการกลั่นปีนี้จะอยู่สูงกว่า 7 เหรียญ/บาร์เรลและอาจได้เห็นปรับตัวขึ้นไปถึง 8 เหรียญ/บาร์เรลหากราคาน้ำมันยังยืนอยู่ในระดับสูงกว่า 60 เหรียญ/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ในระดับ 55-60 เหรียญ/บาร์เรล
และปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีกำลังการกลั่นประมาณที่ 9.1 หมื่นบาร์เรล/วัน ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 7 หมื่นบาร์เรล หลังจากที่โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น(PQI) แล้วเสร็จ ซึ่งจะช่วยให้ EBITDA ของบริษัทเติบโต โดยจะเริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาส 2/52 โดยคาดว่าจะออกมาสูงกว่าไตรมาส 1 ที่มี EBITDA 3 พันล้านบาท
ประกอบกับในไตรมาส 2/52 จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ส่วนค่าการตลาดในไตรมาส 2/52 น่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตร ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ
อย่างไรก้ตาม นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้อาจจะเห็นราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่บางจากฯจะต้องปรับราคาขายปลีกในประเทศตาม
สำหรับโครงการผลิตน้ำมันเบนซินตามมาตรฐานยูโร 4 ขณะนี้ บางจากฯ อยู่ระหว่างวางแผนปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซิน มูลค่าลงทุน 1.5 พันล้านบาท คาดว่าจะทันกับข้อกำหนดของภาครัฐที่จะให้เริ่มใช้ต้นปี 55
ส่วนการลงทุนโครงการเอทานอลครบวงจรตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการตั้งโรงงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกพื้นที่ที่จะทำ เริ่มตั้งแต่การปลูก และมีความเป็นไปได้ทั้งการปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งทั้งโครงการมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.5-2 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะลงทุนถือหุ้นประมาณ 40%
ทั้งนี้ ประเมินว่าหากมีการปลูกมันสำปะหลังและมีผลผลิตตามผลศึกษา 8 ตัน/ไร่/ปี เชื่อว่าจะทำให้ต้นทุนเอทานอลเหลือเพียง 14-15 บาท/ลิตร ซึ่งคุ้มค่ากับการลงทุน