นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี(SSI)คาดว่า ไตรมาส 2/52 บริษัทจะสามารถพลิกมามีกำไร จากไตรมาส 1/52 มีผลขาดทุน 1.88 พันล้านบาท เนื่องจากราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนในตลาดปรับตัวขึ้นมาเกือบ 10% มาที่ประมาณ 500 เหรียญ/ตัน จากกว่า 400 เหรียญ/ตันในไตรมาสก่อน
ประกอบกับ บริษัทได้เริ่มกลับมาส่งออกไปจีนอีกครั้งหลังจากหยุดไปหลายปี ซึ่งคาดว่าเฉพาะไตรมาสนี้จะมีออเดอร์ส่งออกไปจีน 5-6 หมื่นตัน และทั้งปีน่าจะมีปริมาณสูงถึง 1 แสนตัน คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.7 พันล้านบาท
นายวิน กล่าวว่า การที่ราคาเหล็กปรับตัวดีขึ้น เป็นไปตามอุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์ที่ฟื้นตัวขึ้น และธุรกิจก่อสร้างเริ่มทรงตัว ขณะที่ตลาดส่งออกอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นคาดว่าราคาจากนี้จะทรงตัวไปถึงปลายปี โดยคาว่าราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญ/ตัน
"ไตรมาส 1 เราคิดว่าแย่ที่สุดแล้ว ไตรมาส 2 ถึงจะไม่ดีมาก แต่เราก็เริ่มมีกำไรแล้ว"นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวอีกว่า สัดส่วนการส่งออกของบริษัทในปีนี้น่าจะสูงถึง 14-15% เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระดับ 10% ก่อนหน้านี้ จากผลของการกลับมาส่งออกเหล็กแผ่นไปจีน และยังมีการส่งออกไปยังประเททศแถบอาเซียนและตะวันออกกลางด้วย แม้ว่าความต้องการทั่วโลกจะลดลง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ยุโรป และ ญี่ปุ่น ซึ่งลดลง 20% ส่วนตลาดรวมของจีน ความต้องการลดลง 5% ขณะที่ตลาดอินเดียกลับสวนทาง มีความต้องการเพิ่ม 2%
สำหรับตลาดในประเทศ ความต้องการเหล็กในปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน 20%
นายวิน ยังคาดว่ารายได้ในปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท แม้จะมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น และราคาขายฟ้นตัวขึ้นมา แต่ราคาก็ยังต่ำกว่าปีก่อนมาก โดยปีนี้คาดว่าราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8 หมื่นบาท/ตัน โดยขณะนี้อยู่ที่ 1.7 หมื่นบาท/ตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ย 2.7 หมื่นบาท/ตัน แม้ว่ากำลังการผลิตในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 50% เป็น 1.5 ล้านตัน จาก 1 ล้านตันในปีก่อน ทั้งนี้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศเป็นอันดับหนึ่ง
แต่คาดว่าในปีนี้จะทำกำไรได้ดีและสามารถล้างขาดทุนในไตรมาส 1/52 ได้ ส่วนผลขาดทุนสะสม ขณะนี้ยังไม่มีแผนล้างขาดทุนสะสมให้หมดโดยทางบัญชี แต่เห็นว่าควรนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสมมากกว่า ดังนั้นคาดว่าในปีนี้จึงยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้
ส่วนแผนออกหุ้นกู้ที่ได้ผ่านมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ออกได้ไม่เกิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น นายวิน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอดูจังหวะตลาด ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะใช้เงินเพื่อการลงทุนและใช้เป็นทุนหมุนเวียน แต่ขณะนี้ยอดขายดีขึ้น และยังไม่มีแผนลงทุนโครงการใหม่ ๆ ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องออกในปีนี้