ทริสประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ “บมจ.อีซี่ บาย"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 28, 2009 17:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA" ในขณะเดียวกัน ยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทที่ระดับ “AA" ด้วย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเป็น “Negative" หรือ “ลบ" จาก “Stable" หรือ “คงที่" พร้อมทั้งประกาศ “เครดิตพินิจ" สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันด้วยแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ"

อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทอีซี่ บายในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ตลอดจนการสนับสนุนที่เข้มแข็งจากบริษัทแม่และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทว่าอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากฐานะเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำและความเสี่ยงจากกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งภาวะการดำเนินธุรกิจที่เอื้อประโยชน์น้อยลง ซึ่งอาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลง

อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทอีซี่ บายสะท้อนการค้ำประกันเต็มจำนวนจากบริษัทแม่ คือ ACOM Co., Ltd. ซึ่งได้รับอันดับเครดิตในระดับ “A2" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" จาก Moody’s Investors Service (Moody’s) และระดับ “BBB+" พร้อมเครดิตพินิจ “Negative" หรือ “ลบ" ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะถูกลดอันดับเครดิตจาก Standard & Poor’s (S&P) อันดับเครดิตของ ACOM ได้รับแรงหนุนจากฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภค ตลอดจนการมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การมีธุรกิจที่หลากหลาย และการที่ ACOM เป็นบริษัทในเครือที่สำคัญของ Mitsubishi-UFJ Financial Group Inc. (MUFG) โดยปัจจุบัน MUFG ถือหุ้น ACOM ในสัดส่วน 40.04% ซึ่งทำให้ ACOM เป็นบริษัทย่อยที่อยู่ภายใต้การกำกับแบบรวมกลุ่มของ MUFG มาตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2551 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของทางการซึ่งมีผลกระทบในเชิงลบต่อผลประกอบการของธุรกิจให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่น

แนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" สำหรับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอีซี่ บายสะท้อนความคาดหมายว่าผลประกอบการของบริษัทน่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยน้อยลง และบริษัทยังคงมีฐานเงินทุนที่ต่ำและไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น เพื่อที่จะคงอันดับเครดิตให้อยู่ในระดับเดิม ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทเพิ่มทุนในจำนวนที่มากพอที่จะรักษาฐานเงินทุนไม่ให้ต่ำลงไปกว่าระดับปัจจุบันจากผลประกอบการที่อาจถดถอยลงในอนาคต

เครดิตพินิจแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทอีซี่ บายสะท้อนภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อธุรกิจน้อยลงซึ่งอาจกระทบทำให้ ACOM ในฐานะผู้ค้ำประกันมีผลประกอบการตกต่ำยิ่งขึ้นในไม่ช้า นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินของ ACOM ยังอาจได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยเกินไปก่อนที่กฎระเบียบของทางการจะมีผลบังคับใช้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ณ เดือนมีนาคม 2552 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บายคิดเป็นสัดส่วน 4.3% ของสินเชื่อรวมของ ACOM โดยเพิ่มขึ้นจาก 3.7% ในปีงบประมาณ 2549 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2549) หนี้สินของบริษัทที่ได้รับการค้ำประกันจาก ACOM มีจำนวนรวม 54,675 ล้านเยน ณ เดือนมีนาคม 2552 หรือคิดเป็น 12% ของส่วนของผู้ถือหุ้นรวมของ ACOM โดยเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปีงบประมาณ 2547 บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภครายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจ อันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ความรู้ทางธุรกิจ และพัฒนานวัตกรรมทางการเงินสำหรับตลาดในประเทศไทยด้วย

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การมีประสบการณ์กว่า 10 ปีส่งผลให้บริษัทอีซี่ บายมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างเต็มที่จาก ACOM ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐมักให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากกว่าคุณภาพสินทรัพย์นับเป็นปัจจัยสำคัญต่ออันดับเครดิตของบริษัทอีซี่ บายเนื่องจากบริษัทได้รับแรงกดดันจากฐานเงินทุนที่มีค่อนข้างต่ำและปัจจัยทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อการตั้งสำรองหนี้สูญที่สูงในช่วงปี 2548-2550 เนื่องจากมีหนี้เสียจากธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทยังมีหนี้เสียจำนวนมากในช่วงที่บริษัทมีปัญหากับลูกค้าเมื่อมีการประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่ด้วย ส่งผลทำให้บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนจำนวน 113 ล้านบาทในปี 2549 และ 95 ล้านบาทในปี 2550 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทเริ่มกลับมามีกำไรอีก โดยในปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท และ 44 ล้านบาทสำหรับ 3 เดือนแรกของปี 2552

ทั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพแม้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญยังคงสูงจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยก็ตาม บริษัทยังคงมีฐานเงินทุนที่ค่อนข้างต่ำ และมีอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเป็น 5.70% ในปี 2550 จาก 7.16% ในปี 2549 ก่อนจะปรับตัวเป็น 6.50% ในปี 2551 และ 6.70% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ