โบรกฯ หนุน"ซื้อ"BCP คาดผลกระทบ PQI เปิดล่าช้าทำกำไรหดเพียง 3-4%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 28, 2009 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เทใจแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)หลังประเมินมูลค่าความเสียหายจากโครงการ PQI ล่าช้าไปจากเกิดเหตุข้ดข้องอาจมีผลกระทบเพียง 2 เดือน คิดเป็นผลกระทบต่อกำไร 3.4-4.0% หรือหากกรณีสถานกาณณ์เลวร้ายสุดคงกระทบไม่เกิน 6% อย่างไรก็ดี ผลประกอบการปีนี้ของ BCP จะออกมาอย่างน่าประทับใจ ประกอบกับ เชื่อว่าปีนี้จะจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีก่อนมาก และล่าสุดบริษัทระบุว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรกด้วย

ราคาหุ้น BCP เมื่อเวลา 16.09 น.เทรดอยู่ที่ 13.90 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง จากวันก่อนหน้า โดยช่วงเช้าราคาลงไปต่ำสุด 13.80 บาทและขึ้นไปสูงสุดที่ 14.10 บาท

          โบรกเกอร์        คำแนะนำ        ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.กิมเอ็ง        ซื้อเก็งกำไร       20.20
          บล.ทรีนิตี้           ซื้อ            18.00
          บล.ไอร่า           ซื้อ            18.00
          บล.ทิสโก้           ซื้อ            17.40
          บล.โกลเบล็ก        ซื้อ            15.00
          บล.กรุงศรีอยุธยา     ซื้อ            15.00

นักวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรีอยุธยา คาดว่า มูลค่าความสูญเสียจากการหยุดทดลองเดินเครื่องในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน(PQI)เพียง 85 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ ผลกระทบจะจำกัดเพียง 2 เดือน(มิ.ย.-ก.ค.)เนื่องจากหากกระบวนการซ่อมแซมเครื่องจักรล่าช้า มูลค่าความสูญเสียจะเริ่มเห็นตั้งแต่เดือนที่ 3 เป็นต้นไปก็จะตกเป็นภาระของบริษัทประกันภัย ดังนั้นมูลค่าความเสียหายสูงสุดจึงคิดเป็นเพียง 4% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 52 ของเราที่ 4,414 ล้านบาท

"มองว่าผลประกอบการปีนี้เป็นปีที่ดีมาก แม้จะมีปัญหา delay โครงการ PQI ไปก็ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยยะ คิดแล้วผลประกอบการก็ยังดีอยู่"นักวิเคราะห์ กล่าว

และยังคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/52 จะเติบโตจากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 8.2 หมื่นบาร์เรล/วัน ในไตรมาส 1/52 เป็น 9.2 หมื่นบาร์เรล/วัน รวมถึงค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลขับขี่ในต่างประเทศ และกำไรจากการทำ Hedging contracts ส่วนต่างราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ คาดว่าในปีนี้บริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะจ่ายในอัตรา 1.16 บาท/หุ้น จาก 0.50 บาทในปีก่อน และอาจจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลตามที่ผู้บริหารแสดงเจตนาไว้

ส่วนบทวิเคราะห์ของ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุว่า ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกรณีเลื่อนการเปิดโครงการ PQI ในช่วง 2 เดือนคือ ค่าการกลั่นรวมลดลงประมาณ 0.25 เหรียญ/บาร์เรล โดยจะเป็นค่าการกลั่นที่เสียโอกาสจากโครงการ PQI 1.61 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ค่าใช้จ่ายก็จะลดลง 0.4 เหรียญ/บาร์เรลบวกกับค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายอีกประมาณ 0.97 เหรียญ/บาร์เรลก็จะลดลงไปด้วย ดังนั้น ผลกระทบกับค่าการกลั่นไม่มาก

และกำลังการกลั่นลดลงจากเดิมที่ 9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน เป็นประมาณ 8.5 หมื่นบาร์เรล/วัน ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นใน 2 เดือนแรกทางบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าเสียโอกาส แต่หลังจากนั้นไปอีก 18 เดือนหากโครงการยังไม่สามารถเดินเครื่องได้ทางบริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

จากผลดังกล่าวเราประเมินค่าเสียโอกาสของบริษัทสูงสุด (ในกรณีล่าช้าเกินกว่า 2 เดือน) ไว้ที่ 127 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบกับประมาณการกำไรทั้งปีที่ 3,764 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 3.36 บาท เพียง 3.4% เท่านั้น

ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันที่ปรับลดลงมา 5% หลังจากมีข่าวความล่าช้าได้ตอบรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้นไปแล้ว โดยปัจจุบันราคาหุ้นของบริษัทยังซื้อขายอยู่ที่ PER เพียง 4.1 เท่าต่ำที่สุดในกลุ่มโรงกลั่นซึ่งซื้อขายอยู่ที่ PER 9 เท่า, อัตราเงินปันผลตอบแทน 8.6% และมี upside อยู่ 45% จากราคาที่เหมาะสมของเราที่ 20.20 บาท

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ ประเมินความเสียหายจากโครงการ PQI ขัดข้อง ออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ความเสียหายที่ต้องกลับมาเดินเครื่องด้วยระบบ Hydroskimming เหมือนเดิม ณ ระดับกำลังกลั่น 85,000 บาร์เรล/วัน แทนที่จะเป็น 95,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้สูญเสีย GRM ลดลงประมาณ 0.25 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จากสัดส่วนน้ำมันเตาที่ประมาณ 35% แทนที่จะเหลือน้ำมันเตา 14% กับ

2) ค่าเสียโอกาสส่วนเพิ่ม (opportunity loss) จากกำลังกลั่นที่ลดลง 10,000 บาร์เรลต่อวัน ที่ควรจะได้รับ GRM ณ ระดับ 6 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล

และประเมินความเสียหายสูงสุดกรณี Worst case ที่ 120 ล้านบาท ภายใต้กรณีที่ PQI ล่าช้าเกินกว่า 60 วัน ซึ่งทาง BCP จะต้องสูญเสียกำไรที่ควรจะได้ (ส่วนเกินสามารถเคลมกับประกันภายใต้เงื่อนไขคุ้มครอง)

อย่างไรก็ตามมองว่า ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกรณีเลวร้ายสุดคิดเป็น 6% ของเมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการที่เราให้ที่ 2,016 ล้านบาทในไตรมาส 2/52 ซึ่งหากเทียบกับกำไรสุทธิทั้งปีที่เราประเมินไว้ที่ 4,054 ล้านบาท ถือว่าไม่กระทบต่อ BCP มากนัก หากคิดเป็น PER ปี 2552 ถือว่ายังคงซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า 4 เท่า คงราคาเป้าหมายที่ 18 บาท และยังคงคำแนะนำ“ซื้อ”


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ