ทริสคงอันดับเครดิต EASTW ที่ระดับ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 29, 2009 08:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมพื้นที่ในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตลอดจนแนวโน้มการเติบโตที่ดีในธุรกิจให้บริการน้ำประปา และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากลักษณะธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาได้ยาก รวมทั้งรายได้ที่สม่ำเสมอ และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทมีข้อจำกัดบางประการจากความต้องการเงินลงทุนที่สูง ผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้จากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ และนโยบายของรัฐบาลในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำซึ่งยังไม่มีกรอบที่ชัดเจน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้ต่อไป อีกทั้งการประกอบธุรกิจจะไม่ได้รับผลกระทบในทางลบจากการเปลี่ยนแปลงใดใดในนโยบายภาครัฐ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมีโครงการขยายธุรกิจซึ่งมีแผนการเพิ่มภาระหนี้ที่ระมัดระวังและมีการติดตามตรวจสอบอย่างมีวินัยด้วย

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกก่อตั้งในปี 2535 และปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบเพียงรายเดียวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาและดำเนินการดูแลระบบท่อส่งน้ำดิบ บริษัทเช่าและดำเนินการบริหารโครงการท่อส่งน้ำดิบจำนวน 4 โครงข่ายซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังเพื่อให้บริการในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการน้ำประปาในเขตพื้นที่บริการอีก 9 แห่งด้วย ในรอบปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 บริษัทมีรายได้รวม 2,379 ล้านบาท โดยรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 69% และธุรกิจน้ำประปาคิดเป็น 22% ของรายได้รวม ในปี 2552 บริษัทได้เปลี่ยนระบบปีงบประมาณจากสิ้นสุด ณ เดือนกันยายน มาเป็นสิ้นสุด ณ เดือนธันวาคม

ในรอบปีงบประมาณ 2550 รายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบของบริษัทขยายตัว 9% จากปีก่อน สืบเนื่องจากการเติบโตของทั้งปริมาณน้ำดิบที่จำหน่ายและอัตราค่าน้ำดิบ นับตั้งแต่การก่อตั้งเป็นต้นมา พื้นฐานธุรกิจของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการใช้น้ำดิบของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกมีค่อนข้างสม่ำเสมอ กระนั้นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบันก็ส่งผลกระทบในทางลบต่อความต้องการใช้น้ำดิบโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม โดยในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2551 และในไตรมาสแรกของปี 2552 นั้น ปริมาณการขายน้ำดิบลดลง 8% และ 10% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ราคาค่าน้ำดิบเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นช่วยรักษาระดับรายได้ของบริษัท โดยที่รายได้ค่าน้ำดิบปรับตัวลดลง 1% สำหรับช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2551 และเพิ่มขึ้น 9% สำหรับไตรมาสแรกของปี 2552 ในทางกลับกัน ธุรกิจจำหน่ายน้ำประปายังคงแข็งแกร่ง โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% ทั้งในช่วงปีงบประมาณ 2551 และเพิ่มขึ้น 8%-12% ในช่วง 2 ไตรมาสถัดไป บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการมีลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทจัดส่งรายได้ในสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของยอดขายรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยที่ทั้ง กปภ. และ กนอ. ยังมีอำนาจในการต่อรองราคาค่าน้ำดิบด้วย ทั้งนี้ บริษัทได้เสนอให้ส่วนลดไปบางส่วนแก่ลูกค้าทั้ง 2 รายสำหรับปี 2551-2553

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคู่แข่งทางตรงในธุรกิจน้ำดิบไปอีกนานเนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในด้านโครงข่ายท่อส่งน้ำ ประกอบกับลักษณะของธุรกิจให้บริการน้ำดิบที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง โครงข่ายท่อส่งน้ำที่เชื่อมต่อกันเสร็จสมบูรณ์ของบริษัทจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจัดสรรน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ไปยังจุดให้บริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศซึ่งส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะกระทบต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัท ระบบการจัดสรรน้ำของบริษัทจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำประแสร์-คลองใหญ่แล้วเสร็จซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำอีกจำนวน 80 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีที่ลำเลียงมาจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ ธุรกิจบริการน้ำประปาในอนาคตยังคงมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากจะมีโครงการน้ำประปาใหม่ๆ เปิดให้มีการประมูลในเร็วๆ นี้

การดำเนินธุรกิจที่มีการแข่งขันต่ำและมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 45.6% ในปีงบประมาณ 2550 เป็น 52.6% ในปีงบประมาณ 2551 และ 58.1% สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 อัตราส่วนการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นผลมาจากการมีกำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจน้ำประปา ตลอดจนจากการถอนการลงทุนในธุรกิจที่มีผลขาดทุนและการขึ้นราคาค่าน้ำดิบ

ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดภายในของบริษัทในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 923 ล้านบาทจาก 437 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2545 ในขณะที่เงินกู้รวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 4,535 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 เป็น 2,936 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2551 เนื่องจากบริษัทไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดและไม่มีการลงทุนที่สำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 17.4% ในปีงบประมาณ 2550 เป็น 31.4% ในปีงบประมาณ 2551 และอยู่ที่ระดับ 9.4% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวลดลงอย่างมากจากระดับ 49.1% ในปีงบประมาณ 2550 เป็น 32.9% ในปีงบประมาณ 2551 และค่อนข้างทรงตัวหลังจากนั้น ภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนจะยังคงกดดันฐานะทางการเงินของบริษัทเนื่องจากมีแนวโน้มที่บริษัทจะลงทุนเพิ่ม โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรายปีประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าโดยบางส่วนจะนำไปลงทุนในโครงการวางท่อส่งน้ำเส้นที่ 3 ในเขตมาบตาพุดและขยายธุรกิจน้ำประปา นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะลงทุนซื้อท่อส่งน้ำประแสร์-คลองใหญ่จากกรมชลประทานซึ่งมีมูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ