บมจ.ซินเท็คคอนสตรัคชั่น(SYNTEC)คาดว่าปี 52 บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้เติบโตประมาณ 5% จากปีก่อนที่มี 5.4 พันล้านบาท(งบเฉพาะบริษัท)เป็น 5.6-5.7 พันล้านบาท และตั้งเป้าอัตรากำไรขี้นต้น(มาร์จิ้น)อยู่ในระดับ 5-10% จาก 11.7% ในปีก่อน(งบเฉพาะบริษัท) จากงานในมือ(Backlog)ที่มี 5.2 พันล้านบาท ณ สิ้น มี.ค.52 ซึ่งสามารถรับรู้ภายใน 12-18 เดือน และมีส่วน 90% เป็นงานภาคเอกชน
ขณะเดียวกันคาดว่าบริษัทจะได้งานใหม่เข้ามาประมาณ 5.0-5.2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เน้นงานเอกชน ลักษณะงานตึกสูง แต่ไม่ทิ้งงานภาครัฐ โดยเฉพาะงานก่อสร้างรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัทเตรียมพร้อมหาผู้ร่วมทุนลักษณะกิจการร่วมค้าเข้าร่วมประมูลด้วย
"งานใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้ เราได้มา 3 โครงการ รวมมูลค่า 500 ล้านบาท เราตั้งเป้ารับงานใหม่ให้พอ ๆ กับงานที่รับรู้รายได้ไป เพื่อรักษาการเติบโต"เจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ SYNTEC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี 51 บริษัทมีงานในมือ อยู่จำนวน 6.23 พันล้านบาท โดยได้งานใหม่เพิ่มเข้ามา 18 โครงการ รวมมูลค่า 5.07 พันล้านบาท มีทั้งโครงการสร้างโรงแรม คอนโดมิเนียม และโรงพยาบาล ซึ่งเพิ่มจากปี 50 ที่ได้งานใหม่ มูลค่ารวม 3.8 พันล้านบาท 15 โครงการ
เจ้าหน้าที่ กล่าวว่า ข้อมูลถึงสิ้นเดือน มี.ค.บริษัทได้เข้าร่วมประมูลงานไปแล้ว 25 โครงการ โดยเป็นงานเอกชน 20 โครงการ และงานภาครัฐ(รวมรัฐวิสาหกิจ) 5 โครงการ โดยแต่ละงานก็ตั้งเป้ามาร์จิ้นประมาณ 5-10%
"ธุรกิจก่อสร้างมองว่าปีนี้ทรงตัวจากปีที่แล้ว งานใหม่ก็ลดน้อยลง แต่ดีที่เราถนัดงานตึกสูงก็จะได้งานเอกชนมากกว่า คู่แข่งมากมีการเข่งขันรุนแรง"เจ้าหน้าที่ SYNTEC กล่าว
*เตรียมพร้อมจับมือต่างชาติโดดร่วมประมูลงานรถไฟฟ้า
สำหรับงานร่วมประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้านั้น บริษัทก็เตรียมพร้อม โดยได้เจรจาร่วมทุนจัดตั้งเป็นกิจการร่วมค้ากับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อเตรียมร่วมเข้าประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายอื่น เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทขนาดเล็กมีประสบการณ์งานที่ทำมาก่อนหน้านี้มีมุลค่ายังน้อย รวมทั้งงานในมือด้วย จึงต้องหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งและขนาดใหญ่พอจะเข้ามาร่วมด้วย
ก่อนหน้านี้ บริษัทร่วมกับบริษัท ทิพากร จำกัด บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไชน่า สเตรท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้าประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน แต่ตกรอบไป
นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมเรื่องเงินทุนรองรับงานก่อสร้างใหม่ โดย ณ สิ้นมี.ค.ทีผ่านมา บริษัทมีกระแสเงินสดกว่า 400 ล้านบาท และมีวงเงินกู้จากธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินกู้สถาบันจำนวน 170 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ที่ 1.05 เท่า
อนึ่ง เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลที่คาดการณ์เป็นงบเฉพาะบริษัท เพราะบริษัทไม่ได้มีบริษัทย่อยมากและส่วนใหญ่รายได้ของบริษัทมาจากงานก่อสร้าง จึงน่าจะเป็นการสะท้อนผลประกอบการที่ชัดเจนกว่างบรวม
ในปี 51 ในงบรวม บริษัทมีรายได้ 5.8 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 267.66 ล้านบาท ส่วนงบเฉพาะบริษัทในปี 51 มีรายได้ 5.4 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 230.43 ล้านบาท