CPALL โบรกฯเชียร์ CPALL ยอดขายโตดี ฐานเงินแกร่งหนุนขยายสาขาต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 29, 2009 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์                     คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย
          บล.กรุงศรีอยุธยา          ทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว      14.70
          บล.ธนชาต                       ซื้อ                18.00
          บล.กิมเอ็ง                       ซื้อ                14.50
          บล.ซิกโก้                        ซื้อ                14.50
          บล.ฟิลลิป                   ซื้อลงทุนระยะยาว          16.60
          บล.ยูไนเต็ด                      ซื้อ                14.52

นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หุ้น CPALL ยังดูดีที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่ม ถ้ามองในแง่พื้นฐานยังน่าลงทุนระยะยาว เนื่องจากร้าน 7-11 ยังมียอดขายเติบโตสม่ำเสมอ สวนทางกับเศรษฐกิจ เพราะป็นร้านค้าสินค้าที่จำเป็นและแบรนด์แข็งแกร่ง

ฐานะการเงินดีมาก เนื่องจากมีเงินสดสภาพคล่องสูงมาก ธุรกิจ 7-11 รับเป็นเงินสด แต่เวลาจ่ายเงินจ่ายเป็น Credit Term ทำให้มีสภาพคล่องส่วนเกิน และแทบไม่มีหนี้เลย โดยสิ้นสุดไตรมาส 1/52 บริษัทมีเงินสด 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่หนี้ระยะสั้นมีเพียง 157 ล้านบาท ฉะนั้น สภาพคล่องและฐานะการเงินไม่มีปัญหา สนับสนุนให้สามารถขยายสาขาปีละ 400-450 สาขาไม่เป็นอุปสรรค

ตราบใดก็ตามเมื่อขยายสาขาต่อไปได้ ยอดขายก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนจะโตมากโตน้อยอยู่ที่กำลังซื้อของประชาชน ซึ่งขนาดช่วงไตรมาส 1/52 เศรษฐกิจติดลบราว 7.9% แต่ยอดขายต่อสาขาของ CPALL ก็ยังโตสวนทาง โดยยอดขายต่อสาขาของสาขาเก่าเติบโต 3.8% เทียบ QoQ และจะมีสาขาเปิดใหม่อีก 400 สาขาต่อปี ซึ่งเชื่อว่าจบปี 52 จำนวนสาขาเกิน 5,000 สาขาแน่นอน เพราะฉะนั้นแนวโน้มยอดขายเติบโตไปได้เรื่อยๆ

"ดังนั้น CPALL ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว มีกรอบขนานเป็นแนวต้านบริเวณ 14.40 บาท ทะลุแนวต้านสำคัญนี้ได้จะเป็นสัญญาณซื้อต่อเนื่อง ขณะที่แนวโน้มระยะกลางเคลื่อนไหวในกรอบแนวโน้มขาขึ้น ถ้าราคาทะลุแนวต้าน 14.40 บาท จะมีเป้าหมายใหม่ที่ระดับ 14.70 บาท จึงแนะนำถ้าหุ้นอ่อนตัวลงมาให้เข้าทยอยซื้อสะสม และสามารถลงทุนระยะยาวได้ด้วยซ้ำ"นักวิเคราะห์ กล่าว

ด้าน บล.ธนชาต มองว่า ปัจจุบัน CPALL เป็นผู้ประกอบการ 7-11 รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกแทนที่ไต้หวัน เนื่องจากมีอัตราการขยายสาขาที่เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในประเทศอื่น โดยสาขาที่มีทั้งหมด 4,912 สาขา ณ 1Q09 และท่ามกลาง Top players ทั้งหมด CPALL ถูกที่สุด โดยซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 13.3 เท่าในปี 2009E เทียบกับ 17.2 เท่า ของ Seven & I Holdings (7-11 ญี่ปุ่น & สหรัฐฯ) และ 20.1 เท่า ของ President Chain Store (7-11 ไต้หวัน) นอกจากนี้ CPALL ยังมีอัตราการเติบโตของ EPS (CAGR) เฉลี่ย 3 ปีสูงที่ 21% และ ROE สูงถึง 26% ในปี 2009 อีกด้วย

ดังนั้น จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราสำหรับ CPALL และปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย(คำนวณโดยวิธี DCF)ของเราขึ้นมาอยู่ที่ 18 บาท/หุ้น จาก 15.6 บาท/หุ้น เพื่อสะท้อน 1)ผลการดำเนินงานใน 1Q09 ที่แข็งแกร่งกว่าคาด สาเหตุหลักจากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโตอย่างมากและอัตรากำไรที่ดีขึ้น 2)การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายโฆษณา และ 3)ปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการขยายสาขาในระยะยาว

ขณะที่นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า ในแง่ของพื้นฐานมีความเห็นเป็นบวกต่อหุ้น CPALL ทั้งในแง่ของการเติบโตของผลกำไร ซึ่งมองว่าปี 52 จะเติบโตค่อนข้างมากประมาณ 45% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุหลักคือไม่ต้องรับรู้ภาระขาดทุนจากโลตัสที่ประเทศจีนเนื่องจากมีการขายกิจการออกไปแล้ว ขณะที่รายได้หลักซึ่งมาจากร้าน 7-11 และเคาน์เตอร์เซอร์วิสเป็นหลัก ซึ่งธุรกิจนี้มีกำไรค่อนข้างดี โตขึ้นจากปีที่แล้ว ตั้งเป้าหมายให้ยอดขายต่อสาขาเติบโต 3-5% ต่อปี

ในส่วนของสาขาเดิมที่มีอยู่เกือบๆ 5,000 สาขา และเป้าหมายการเปิดสาขาใหม่อีก 400-450 สาขาต่อปีเพื่อให้ครบ 7,000 สาขาในปี 2557 ทำให้มองว่าธุรกิจยังสามารถเติบโตได้อีก และด้านเม็ดเงินลงทุนก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากฐานะการเงินและกระแสเงินสดดีมาก โดยมีเงินสดสุทธิ 12,539 ล้านบาท บริษัทเองก็มีความสามารถด้านการจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอภายใต้นโยบายการจ่ายในอัตรา 50% ของกำไร

"เราคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ประมาณ 5% คงคำแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายที่ 14.50 บาท "นางสาวสุทธาทิพย์ กล่าว

บทวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ประมาณการกำไรสุทธิ FY09E ของ CPALL ที่ 3,974 ล้านบาท เติบโต 20.4% YoY โดยธุรกิจหลักเหลือเพียงร้านสะดวกซื้อ ทำให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้นและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้ยอดขายเติบโต แต่ยังมีความกังวลว่าจะไม่ได้รับการต่อสัญญาร้าน 7-Eleven ในสถานีจำหน่ายน้ำมัน ปตท.

ราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับราคาเหมาะสม FY09E ที่ SSEC ให้ไว้ที่ 14.50 บาท มี Upside Gain เท่ากับ 12.4% และ Dividend Yield ที่ 6.0% ทำให้อัตราผลตอบแทน (Total Return) เท่ากับ 18.4% เราจึงยังคงแนะนำ“ซื้อ"

นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า กำไรสุทธิ 1Q52 ที่ออกมาเทียบเท่า 31.1% จากประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีที่ 4,014 ล้านบาท นับเป็นสัดส่วนที่สูง เนื่องจากประมาณการ Margin และค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้าง conservative ดังนั้นเราจึงปรับลดสมมุติฐานสัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายลดลง 0.47% จากเดิม 25.87% เป็น 25.4% และปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น 0.08% จาก 25.79% เป็น 25.87% ซึ่งเป็นผลให้กำไรสุทธิในปี 2552 เพิ่มขึ้น 9.6% เป็น 4,398 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น ที่ 0.9789 บาท โดยสมมุติฐานใหม่(margin, SG&A/Sale) ของเรายังต่ำกว่าผลประกอบการ 1Q52 ที่ออกมา

ทั้งนี้ บล. ฟิลลิปได้ปรับราคาพื้นฐานปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 16.6 บาท จากเดิมที่ 13.50 บาท โดยประเมินจากศักยภาพในการทำกำไร มี Bargainig Power และมีร้านสาขาจำนวนมาก ทำให้ได้เปรียบในเรื่องของการหาสินค้าใหม่ๆ มาวางขายได้เป็นที่แรกๆ และยังมีอำนาจในการต่อรองกับซัพลลายเออร์เพื่อให้ได้มาร์จิ้นที่ดีนี่คือจุดแข็งของ CPALL

"เราปรับราคาพื้นฐานปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 16.6 บาท จากเดิมที่ 13.50 บาท ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมาจาก 1)กำไรที่เพิ่มขึ้น 9.6% 2)ปรับเพิ่มระดับ P/E จากเดิมที่ 15 เท่า เป็น 17 เท่า โดยระดับ P/E ที่ 17 เท่า โดยเป็นระดับที่สูงกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ 14.45 เท่า เนื่องจากในปี 2552 บริษัทมีกำไรที่เติบโตสูง คาดเพิ่มขึ้น 33.23%(เทียบงบรวม) และ 17.6%(เทียบงบเดียว) ซึ่งถ้า เทียบเป็น PEG ยังไม่แพงอยู่ที่ 0.51 และ 0.97 ตามลำดับ แนะนำ “ซื้อลงทุน"

บทวิเคราะห์ ของ บล.ยูไนเต็ด ระบุ ผลประกอบการ 1Q52 ดีกว่าคาด 19% โดยมีกำไรสุทธิถึง 1,247 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 145%QoQ และ 15%YoY ตามลำดับ จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 134 สาขาเป็น 4,912 แห่ง (+12%YoY) และอัตรายอดขายเฉลี่ยต่อสาขาเดิม (SSSG ไม่รวมบัตรโทรศัพท์) ที่ยังทรงตัวในระดับสูงกว่า 10% (เปรียบเทียบ 4Q51 ระดับ 12% และ 1Q51 ที่ระดับ 7.7%) ดังนั้น จึงผลักดันรายได้รวมหดตัวไม่มากราว 5,533 ล้านบาทมาอยู่ที่ 25,918 ล้านบาทหรือคิดเป็น -18%YoY

ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เป็น Net Cash company โดยจากผลการดำเนินงานที่โตโดดเด่น ประกอบกับประสิทธิภาพในการบริหารเงินหมุนเวียนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง Cash cycle day ติดลบมากขึ้นจาก -45 วัน ณ สิ้นปี 51 เป็น -49 วันใน 1Q52 ดังนั้น จึงส่งผลบริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเป็น Net Cash Company สูงกว่า 2.7 บาทต่อหุ้น

ในขณะที่แนวโน้ม 2Q52 เบื้องต้น เราคาดชะลอตัวลงตามผลกระทบของฤดูกาลและผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง จึงส่งผลเรายังคงตัวเลขคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 51 ที่ 3,960 ล้านบาท (+20%YoY)

"จากแนวโน้มผลการดำเนินงานเดือนเม.ย.52 ที่เริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองแล้วประกอบกับราคาหุ้นใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานับจากเราแนะนำ “ซื้อ" ขึ้นมาแล้วกว่า 13% จนปัจจุบันเหลือ Upside Gain เพียง 5% จึงปรับคำแนะนำลงเหลือ “ถือ" โดยคงราคาเป้าหมายปี 52 ที่ 14.52 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ