นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 9-16 มิถุนายน นี้ บริษัทฯ จะเปิดขายกองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 4 (ACFIF4) สำหรับรอบการลงทุนแรก จะลงทุนโดยตรงในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Korea Monetary Stabilization Bond (MSB)) อายุประมาณ 6 เดือน โดยคาดว่าผลตอบแทนหลังจากทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนและหักค่าใช้จ่ายกองทุนแล้ว อยู่ที่ 2.30% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศที่สร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่ต่ำ
นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ของ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 1 (ASP-ACFIXED1) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและสถาบันการเงินในประเทศ รอบการลงทุนนี้ประมาณ 3 เดือน โดยจะลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่น CB09910A เงินฝากธนาคารกรุงไทย (KTB) และเงินฝากที่ได้รับการค้ำประกันของบริษัทเงินทุนสินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (SICCO) ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่าย 0.80% ต่อปี
“กองทุนที่จะเสนอขายคู่กัน 2 กองทุนนี้ เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และเงินฝาก จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ลงทุนเลือกช่องทางการลงทุนแบบในประเทศหรือต่างประเทศ" นางสาวจารุลักษณ์ กล่าว
สำหรับผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 3 (ASP-MMF3) จะรองรับความต้องการของผู้ลงทุนได้ ซึ่งกองทุนจะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ในวันที่ 11 มิ.ย. รอบการลงทุน 3 เดือน ลงทุนในตั๋วแลกเงินของบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) บจ.น้ำตาลมิตรผล (MPSC) บมจ. โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL) และบมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) และหุ้นกู้บริษัท ซิกโก้นิติบุคคลเฉพาะกิจ 1 จำกัด โดยคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้ 2.05% ต่อปี
ด้าน ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบันที่ 1.25% ไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งตลาดตราสารหนี้ได้ตอบรับการคาดการณ์ดังกล่าว ส่งให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ ดังนั้น สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ จึงแนะนำผู้ลงทุน ลงทุนในระยะสั้นๆ 3 - 6 เดือน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนที่อาจจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในรอบการลงทุนถัดไป