โบรกฯแนะ"ซื้อ"QH มองกำไรสุทธิในปี 53 โตโดดเด่นจากรับรู้ฯ 2 คอนโดฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 4, 2009 15:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

5 โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์(QH)มองว่าในปี 53 กำไรและรายได้ของบริษัทจะเติบโตโดดเด่นกว่ารายอื่น จากยอดขายคอนโดมิเนียม 2 แห่ง คือ คอนโดมิเนียมย่านสาทรขายได้แล้ว 71% ของมูลค่าโครงการ 2.3 พันล้านบาท และเตรียมเปิดโครงการใหม่ย่านซอยหลังสวน ครึ่งปีหลังเจาะลูกค้าระดับบน ขณะที่ปีนี้แม้ว่าอัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ยอดขายในเดือนเม.ย.-พ.ค.ก็ยังเติบโต เชื่อว่ายอดขายและกำไรในไตรมาส 2/52 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน

ราคาหุ้น QH ช่วงบ่ายเคลื่อนไหวที่ 1.57 บาท บวก 0.06 บาท (+3.97%) โดยขึ้นไปราคาสูงสุดที่ 1.58 บาท จากก่อนหน้าราคาได้ขึ้นไปสูงสุดที่ 1.65 บาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา

          โบรกเกอร์         คำแนะนำ        ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.ธนชาต           ซื้อ            2.00
          บล.ดีบีเอสฯ          ซื้อ            1.93
          บล.กิมเอ็งฯ          ซื้อ            1.92
          บล.เคจีไอ           ซื้อ            1.90
          บล.ทิสโก้            ซื้อ            1.72

นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) มองว่า ในปี 53 กำไรและรายได้ของบริษัทจะเติบโตก้าวกระโดด เทียบกับบริษัทในธุรกิจเดียวกัน เนื่องจากบริษัทมียอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียยม คิวเฮ้าส์ คอนโด สาทร มูลค่าโครงการ 2.3 พันล้านบาท โดยเปิดจองเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และขณะนี้ยอดขายได้แล้ว 71% เพราะอยู่ในทำเลที่ดี และจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 53 เพราะบริษัทจะสร้างโครงการเสร็จในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมที่หลังสวน โดยคาดว่าจะในระดับราคาสูงกว่าโครงการที่สาทร ซึ่งกิมเอ็งฯคาดว่าจะบริษัทจะมียอดจองไม่ต่ำกว่า 50% หลังเปิดจอง เพราะทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าเช่นกัน

"โครงการคอนโดฯ ของเขา success ขายดี และ book ได้เลยในปีหน้า เพราะสร้างเตรียมไว้ก่อนที่จะเปิดขาย ก็ทำให้กำไรปีหน้าคิวเฮ้าส์จะโตก้าวกระโดด คงหาน้อยรายที่โตขนาดนี้ ถ้าปีหน้าเศรษฐกิจฟื้นตัว คิวเฮ้าส์ก็จะโตโดดเด่นกว่า หรือถ้าปีหน้าภาวะเศรษฐกิจใกล้เคียงกับปีนี้ คิวเฮ้าส์ก็ยังโตอยู่ดี "นายสุรศักดิ์ กล่าว

บล.กิมเอ็ง ประมาณการว่า ในปี 53 QH จะมีกำไรสุทธิเติบโต 22% ส่วนรายได้เติบโต 29% จากปี 52

ส่วนผลประกอบการปีนี้ ถือว่าพอไปได้ ซึ่งตอนแรกมองแย่กว่านี้ แต่เมื่อเห็นผลประกอบการในไตรมาสแรกดีกว่าที่คาดไว้ และยอดขายในเดือนเม.ย.-พ.ค.ก็ดีขึ้นอีก แม้เศรษฐกิจปีนี้ถดถอย รายได้และกำไรปีนี้จะลดลง แต่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ปรับตัวหมด

ทั้งนี้ ในปี 52 ประมาณการกำไรสุทธิไว้ที่ 1,160 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 1,558 ล้านบาท และรายได้ลดลงไปมาอยู่ที่ 9,576 ล้านบาท จากปี 51 มีรายได้ 10,620 ล้านบาท แต่สำหรับปี 53 กำไรสุทธิจะเพิ่มมาเป็น 1,412 ล้านบาท และ รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 12,319 ล้านบาท

ด้านบล.เคจึไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ตัวเลขยอดขายโครงการฟื้นตัวจาก 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 4/51 เป็น 2 พันล้านบาทในไตรมาส 1/52 และจาก 300 ล้านบาทในเดือน ม.ค.เป็น 900 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ค. การฟื้นตัวเห็นได้ชัดโดยเฉพาะตลาดระดับบน (ราคา 20-30 ล้านบาท)

ณ สิ้นเดือน มี.ค.52 QH มีโครงการในมือมูลค่ารวม 1.89 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจำนวน 392 ยูนิต มูลค่า 2.2 พันล้านบาท (คิดเป็นยอดขายประมาณ 2 เดือน)

นอกจากโครงการแนวราบแล้ว QH ยังเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 2 แห่ง คือ Q.House Condo Sathorn และ Q Langsuan มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท คาดว่าราคาขายจะอยู่ที่ 2.0 แสนบาทต่อ ตรม.ในปี 52 จึงคาดว่าโครงการทั้ง 2 แห่งดังกล่าวจะเสร็จและพร้อมโอนได้ในปี 53 โดยโครงการ Q.House Condo Sathorn มียอดขายโครงการแล้ว 71% นับตั้งแต่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 25 เม.ย.52

ดังนั้น คาดว่า QH จะมีรายได้และอัตรากำไรเพิ่มขึ้นในปี 53 จากบรรยากาศที่ดีขึ้นในตลาดอสังหาฯ และสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม, ส่วนแบ่งรายได้ที่ดีจากโครงการคอนโดมิเนียมทั้งสองแห่ง รวมทั้ง นโยบายควบคุมต้นทุน เช่น เปลี่ยนวิธีการจัดซื้อที่เริ่มในไตรมาส 2/52 โดยตั้งเป้าลดต้นทุนการก่อสร้างลง 2.0% และการลดลงของสินค้าคงคลังที่สร้างด้วยต้นทุนสูงในช่วงครึ่งหลังของปี 51

ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า โครงการคอนโดมิเนียมจะช่วยผลักดันกำไรสุทธิในปี 53 เติบโตจากการเปิดขายคอนโดมิเนียที่สาทรที่มีอัตราจองแล้ว 70% เพราะทำเลดีใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนคอนโดมิเนียมที่หลังสวนจะเปิดจองในเดือน ก.ค.โดยจะบันทึกรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมทั้งสองโครงการได้ในครึ่งแรกปี 53

จึงคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 53 ที่ 17% จากปี 52 ถือว่าสูงสุดในอุตสาหกรรม(เฉพาะหลักทรัพย์ที่วิเคราะห์อยู่) แม้ว่าจะคงสมมุติฐานปัจจัยลบในเรื่องมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เรื่องการลดภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอนจะหมดอายุลงในเดือน มี.ค.53 ตามประกาศก็ตาม

"เพราะมีกำไรในส่วนธุรกิจคอนโดมิเนียมช่วยผลักดัน ซึ่งเราคาดว่าสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมเป็น 26% เทียบกับรายได้จากการขายทั้งหมด ส่วนสมมุติฐานรายได้จากธุรกิจแนวราบ คือลดลง 10% ในปี 52 แต่กลับมาฟื้นตัว คือเพิ่มขึ้น 10% ในปี 53"บทวิเคราะห์จาก ดีบีเอสฯระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ