ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร หลังจากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นทั้งสองกลุ่ม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขว่างงานประจำสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 สัปดาห์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 74.96 จุด หรือ 0.86% แตะที่ 8,750.24 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 10.70 จุด หรือ 1.15% แตะที่ 942.46 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 24.10 จุด หรือ 1.32% แตะ 1,850.02 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.36 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 7 ต่อ 2 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.50 พันล้านหุ้น
จิม ซิเนกัล นักวิเคราะห์จากบริษัทมอร์นิ่งสตาร์ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานอย่างคึกคัก หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทโบรกเกอร์หลายรายปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นทั้งสองกลุ่ม โดยหุ้นกลุ่มพลังงานได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 68 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขว่างงานประจำสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 สัปดาห์
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นหลังจากนักวิเคราะห์ของอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ระบุว่า วิกฤตการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคการเงินได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยดัชนี KBW Bank index ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นยักษ์ใหญ่ 24 แห่งของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.8% ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปิดพุ่ง 5.2% และหุ้นคีย์คอร์ป ปิดบวก 19.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของแบร์สเติร์นส รีเสิร์ช ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้น โดยหุ้นอ็อคซิเดนทัล ปิโตรเลีย ปิดบวก 2.6% หุ้นอนาดาร์โค ปิโตรเลีย ปิดบวก 3.2% แต่หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าผู้บริโภคชาวสหรัฐยังต้องการรัดเข็มขัดและไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยในช่วงที่อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น โดยหุ้นเมซี อิงค์ ปิดร่วง 3.3% หุ้นอเบอร์ครอมบี ปิดร่วง 11.8%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลังจาก เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนว่ายอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้กำลังส่งผลคุกคามเสถียรภาพด้านการเงิน ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษบกิจในระยะยาว
ทำเนียบขาวคาดการณ์ว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2552 หรือสูงกว่าปีงบประมาณก่อนหน้าถึง 4 เท่า ส่วนตัวเลขขาดดุลปีงบประมาณ 2553 ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลข้อมูลด้านแรงงานของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอัตราว่างงานเดือนพ.ค.จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.2% ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 9% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 25 ปี
ก่อนหน้านี้ ADP รายงานว่าภาคเอกชนลดการจ้างงาน 532,000 ตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 525,500 ตำแหน่ง