โบรกฯแนะ"ซื้อเมื่ออ่อนตัว/ถือ"GRAMMY ปันผลสม่ำเสมอ-ธุรกิจดาวน์โหลดโตดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 5, 2009 14:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์                คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          สถาบันวิจัยนครหลวงไทย        ซื้อ                17.20
          บล.ธนชาต                  ซื้อ                17.00
          บล.ฟิลลิป                   ซื้อ                14.80
          บล.บัวหลวง            ซื้อเก็งกำไร/ถือ           14.60
          บล.บีฟิท                    ซื้อ                13.80
          บล.กิมเอ็ง           ซื้อเมื่ออ่อนตัว/ถือรอปันผล      13.10

นายประสิทธิ์ สุจิรวกุล นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ให้มุมมองเชิงบวกต่อหุ้น GRAMMY โดยปรับประมาณการกำไรปี 2552 ขึ้น 10% เนื่องจากคาดว่ารายได้ดิจิตอลจะขยายตัว 40% ในช่วงครึ่งหลังของปี จากการที่จะขยายบริการไปยังผู้ให้บริการรายอื่นๆ เช่น ทรูมูฟ จากปัจจุบันที่ให้บริการดาวน์โหลดเพลงกับโอเปอเรเตอร์ 2 รายใหญ่ คือ DTAC และ ADVANC/AIS โดยในส่วนของ DTAC ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ Happy Vampire ประมาณ 1.1 ล้านราย ขณะที่บริการ *123 Calling Grammy ของ AIS มีผู้ใช้บริการแล้วทั้งสิ้น 7 แสนราย

ส่วนธุรกิจอื่น เช่น ทีวี ก็ยังดูดี เนื่องจากเรทติ้งรายการดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายปี 51 ละครหลายๆ เรื่องติดเรทติ้งค่อนข้างดี ยอดจองโฆษณาผ่านรายการทีวีก็ยังเต็ม ด้านรายได้โชว์บิซน่าจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดี ปี 52 น่าจะเติบโต 20% เนื่องจาก ไตรมาส 1/52 ยังมีโชว์เยอะ ที่โดดเด่นคือละครเวที"แม่นาคพระโขนง เดอะมิวสิคคัล" และคอนเสิร์ตอื่นๆ โดยเชื่อว่าคงจะพยายามยึด Theme เหมือนปลายปีที่แล้ว ก็คงจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ทยอยออกมาอีก โดยอาจจะได้เห็นคอนเสิร์ตแบบเบิร์ด เบิร์ดอีก

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจวิทยุยังดูไม่ค่อยดีอาจจะฉุดลง แต่ก็คาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะฟื้น ขณะที่ธุรกิจทีวีดาวเทียมน่าจะยังขาดทุนแต่เป็นตัวเลขที่ไม่ได้กิน Bottom Line มาก หลังจากช่อง FANTV(เปิดตัวในไตรมาส 4/51)ณ ปัจจุบันยังคงสร้างรายได้ไม่มากนัก และยังคงมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานเพียงเล็กน้อย, ช่อง BANG และ GREEN เพิ่งเปิดตัวในไตรมาส 1/52, ในส่วนช่อง ACTS คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 2/52 และช่อง BIRD มีแนวโน้มเลื่อนออกไปในปี 53 เข้าใจว่าคงรอดูเศรษฐกิจรวมๆ

"เรายังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร" สำหรับหุ้น GRAMMY ด้วยราคาเป้าหมาย 14.60 บาท ค่าเฉลี่ย PBV ในระยะยาวของ GRAMMY อยู่ที่ 2 เท่าและค่าเฉลี่ย PER ระยะยาวอยู่ที่ 15.5 เท่า ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันราคาหุ้นของ GRAMMY ยังคง undervalue ถ้าเทียบ PBV ณ ปัจจุบันที่ 1.8 เท่าและ PER ที่ 9.7 เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว หรือไม่ก็ "ถือเพื่อรอเงินปันผล" เนื่องจากบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ"โบรกเกอร์ กล่าว

ด้านสถาบันวิจัยนครหลวงไทย มองว่า แม้ว่าการลงทุนเพิ่มในธุรกิจเคเบิลทีวีที่สูง(รวมกับ 4 รายการที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้)จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนขายและบริการของ GRAMMY ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ ในขณะที่รายได้จากค่าโฆษณายังเข้ามาไม่มากนัก จึงทำให้แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของ GRAMMY จะอ่อนลงเมื่อเทียบกับปีก่อนได้ เพราะเชื่อว่าโอกาสการเติบโตของธุรกิจเคเบิลทีวียังมีอยู่มาก เนื่องจากยังเป็นช่วงเริ่มต้นที่โทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก และ ทีวีดาวเทียม จะสามารถโฆษณาเชิงพาณิชย์ได้เช่นเดียวกับฟรีทีวี

อีกทั้งอัตราค่าโฆษณาของรายการในเคเบิลทีวียังต่ำมาก ทำให้ผู้ซื้อโฆษณามีความต้องการทดลองใช้ ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตของมูลค่าโฆษณาในช่วง 2—3 ปี จะขยายตัวในระดับสูงมากกว่าการเติบโตของการโฆษณาของฟรีทีวีได้ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อ GRAMMY

ขณะที่นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)กล่าวว่า ผลประกอบการ GRAMMY อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่อาจสู้ปีที่แล้วไม่ได้ ปีนี้กำไรสุทธิอาจจะลดลงประมาณ 4% มาที่ 655 ล้านบาท จาก 705 ล้านบาทในปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่แล้วทำผลงานทั้งปีไว้สูง อีกทั้งปี 51 ยังมีรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างของบริษัทย่อยเข้ามาประมาณ 50 ล้านบาท ถ้าไม่นับรายการพิเศษนี้กำไรสุทธิปี 51 อยู่ที่ 655 ล้านบาท

"ปีที่แล้ว GRAMMY ทำฐานไว้ดี และมีรายการพิเศษ แต่ปีนี้ไม่มีเลยมองว่ากำไรน่าจะลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจด้วย"

สำหรับธุรกิจในมือโดยเฉพาะเคเบิ้ลทีวี มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ต้องใช้เงินลงทุนและใช้เวลาในการสร้างให้เป็นที่รู้จัก จนเริ่มมีโฆษณาเข้ามา ขณะที่ GRAMMY มีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี รักษาระดับ Offering Cashflow ต่อปีประมาณพันล้าน D/E น้อย เพราะหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยมีอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อหักด้วยเงินสดในมือที่มีค่อนข้างเยอะ ดังนั้น ปี 52 D/E น่าจะเป็น 0 หรือเป็น Cash

"แต่ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนต่าง(Upside Gain) น้อย เพราะเรามองราคาเป้าหมาย 13.10 บาท จากปัจจุบัน 12.80 บาท และสภาพคล่องน้อย แต่ถ้ามองในแง่ของอัตราผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ดี 7-8% จึงแนะนำให้"ซื้อเมื่ออ่อนตัว หรือ ถือเป็นรอรับเงินปันผล"นางสาวสุทธาทิพย์ กล่าว

ในส่วนของบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)ระบุว่า ตั้งแต่ 2Q52 ตัวหลักที่จะผลักดันกำไรได้แก่ ดิจิตอล ที่จะจำนวนสมาชิกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจะมีการขยายไปยังผู้ประกอบการมือถือรายอื่น, รายการโทรทัศน์ที่จะมีการรับรู้รายได้จาก The Star 5 ใน 2Q52 คาดจะมากกว่าที่บันทึกใน 1Q52 ประกอบกับในช่วง 1Q52 ได้รับผลกระทบจากการเมือง หากมีการฟื้นตัวจะทำให้ยังมีพื้นที่ให้โตขึ้นได้ และรายการยังคงได้รับความนิยม

ส่วนธุรกิจอื่น ๆ เช่น ภาพยนตร์ ใน 2H52 จะดีขึ้นเพราะจะมีเข้าฉาย 4 เรื่อง จาก 1H52 ที่เข้าฉาย 1 เรื่อง, อีเว้นท์ ใน 2Q52 จะอ่อนตัวตามฤดูกาล แต่ใน 2H52 กลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะใน 4Q52 ที่เป็นฤดูกาลที่สูง, วิทยุใน 1H52 ยังคงไม่ฟื้นตัวเทียบ YoY แต่ใน 2H52 จะฟื้นตัวดีขึ้นกว่า ใน 1H52

สิ่งพิมพ์ คงได้แค่ประคองตัวในปีนี้ โดยอิมเมจจะมีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ และธุรกิจเพลงที่ไม่เกี่ยวกับดิจิตอล ยังคงไปได้ดี โดยเฉพาะ Show Biz ที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่และ ละครเวที “แม่นาค", บริหารศิลปินที่จะรับรู้รายได้ที่เลื่อนมาจาก 1Q52

"โดยยังคงประมาณการปี 2552 ไว้เดิมที่ 656.54 ล้านบาท อิง P/E 12 เท่า ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 14.80 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ""บทวิเคราะห์ ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ