บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการเข้าซื้อหุ้น บมจ. เอสวีไอ (SVI) โดยผู้บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท (Management Buyout) รวมถึงแผนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ในส่วนที่เหลือ(Tender Offer)และโครงสร้างแหล่งเงินทุนที่เสนอเพื่อใช้ในการดำเนินการข้างต้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของ SVI ที่ปัจจุบัน ฟิทช์จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SVI ที่ระดับ ‘BBB+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F2(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์จะพิจารณาอันดับเครดิตของ SVI หลังจากที่การเสนอซื้อหลักทรัพย์สิ้นสุดลง และได้พิจารณารายละเอียดของธุรกิจและฐานะการเงินของบริษัทแล้ว
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2552 บริษัท เอ็มเอฟจี โซลูชั่น จำกัด (MFG) ซึ่งถือหุ้นทั้งหมดโดยคุณพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SVI ได้เข้าซื้อหุ้น SVI ในสัดส่วน 58.48% จาก H&Q Asia Pacific และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SVI โดยถือหุ้นรวมทั้งหมดในสัดส่วน 69.45%
ตามระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ MFG จะต้องดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ในส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อย ดังนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน 2552 MFG ได้ประกาศรายละเอียดโครงสร้างแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการดำเนินการและแผนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อย
ภายใต้แผนดังกล่าวผู้ถือหุ้นรายย่อยของ SVI สามารถใช้สิทธิขายหุ้นภายใต้คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ได้ภายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ที่ราคา 1.40 บาทต่อหุ้น โดยแหล่งเงินทุนที่ MFG นำมาใช้ในการดำเนินการครั้งนี้มาจากวงเงินกู้ของธนาคารกสิกรไทย จำนวน 1,800 ล้านบาท เนื่องจาก MFG คาดว่าจะใช้เงินปันผลรับจาก SVI ในการชำระคืนเงินกู้ของธนาคารกสิกรไทย การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวน่าจะทำให้หนี้สินสุทธิ และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิของ SVI เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ตามแผนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เสนอข้างต้น ฟิทช์มองว่าผลกระทบทางการเงินต่อ SVI มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก SVI มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดสุทธิหลังจากหักหนี้สิน และราคาหุ้นในตลาดยังอยู่ในระดับสูงกว่าราคาเสนอซื้อที่ 1.40 บาท
แต่อันดับเครดิตของ SVI อาจถูกพิจารณาปรับลดได้หากผู้ถือหุ้นรายย่อยใช้สิทธิจำนวนมาก และจำนวนเงินที่ MFG ต้องใช้ในการดำเนินการทั้งหมดส่งผลให้อัตราหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Adjusted net debt to EBITDAR) เพิ่มขึ้นสูงกว่า 1.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง