บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบมจ.ปตท. เคมิคอล(PTTCH) เป็นลบ จากเดิมแนวโน้มมีเสถียรภาพ
ในขณะเดียวกันฟิทช์ได้ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวของ PTTCH ที่ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’
นอกจากนี้ยังประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทที่ระดับ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ที่มีหลักประกันที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha))
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า ความสามารถในการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ในขณะที่หนี้สินและอัตราส่วนหนี้สินมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าที่คาด (เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าที่คาดไว้ รวมถึงการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่มีภาระผูกพันต้องจ่ายอยู่ในระดับสูงในช่วงปี 52 ถึง 53) นอกจากนี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการหดตัวลงของอุปสงค์อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ PTTCH ได้รับการสนับสนุนจากความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจและการดำเนินการที่มีในระดับที่สูงกับ บมจ.ปตท.(PTT) (ปัจจุบัน ฟิทช์จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ปตท. ที่ระดับ AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) เนื่องจาก PTTCH เป็นผู้ดำเนินการหลักสำหรับกลุ่ม ปตท. ในธุรกิจปิโตรเคมีที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ
นอกจากนี้ PTTCH ยังมีสัญญาการจัดซื้อวัตถุดิบในระยะยาวกับ PTT และมีสัญญาการขายในลักษณะ Off-take Agreement กับ PTT อีกด้วย
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่ PTTCH มีขนาดการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่ใหญ่และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ รวมถึงการขยายการผลิตลงไปในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้รวมและช่วยลดความผันผวนของรายได้ในระยะยาวอีกด้วย
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องทางการเงินที่ดีของ PTTCH แม้ว่าจะมีแนวโน้มอ่อนแอลงในปี 52 ก็ตาม แม้ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากในไตรมาสที่ 4/51 แต่กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Adjusted Net Debt to EBITDAR) ยังคงเป็นไปตามที่ฟิทช์ได้คาดการณ์ไว้
ในปี 51 PTTCH มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าจำนวน 20.7 พันล้านบาท ลดลง 17.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่ายังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.2 เท่าในไตรมาสแรกของปี 52 กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ 1.9 พันล้านบาท จากการขาดทุนถึง 2.5 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 4/51
ในขณะที่สภาพคล่องของ PTTCH ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทมีเงินสดในมือถึง 17.2 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 52 และมีวงเงินสินเชื่อที่สามารถเบิกถอนได้ที่ยังไม่ได้เบิกถอนในระดับสูง ซึ่งประกอบด้วย วงเงินสนับสนุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจากสถาบันการเงินจำนวน 12.3 พันล้านบาท วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจำนวน 135 ล้านเหรียญสหรัฐ และวงเงินสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการค้าจาก PTT อีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
PTTCH ได้มีการลงทุนอย่างมากตั้งแต่ปี 50 ในสายธุรกิจโอเลฟินส์ โพลิเมอร์ (Polymers) และผลิตภัณฑ์เคมีเฉพาะด้าน (Specialty Chemicals) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตรวมถึงเสริมสร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจ โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้เงินเพื่อการลงทุนในระดับที่สูงถึงประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 52 ถึง 53 เมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่มีภาระผูกพันไว้แล้วที่อยู่ในระดับสูงและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ลดลง
อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าของ PTTCH จึงน่าจะสูงขึ้นอย่างมากในปี 52 แต่คาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 2 เท่าในปี 54 เนื่องจากการเริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบของการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และโพลิเมอร์จากโรงงานใหม่ รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ลดลงอย่างมากหลังปี 53
อันดับเครดิตของ PTTCH ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงต่อความผันผวนที่สูงของวัฏจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฟิทช์กล่าวว่าภาวะถดถอยของอุตสาหกรรมที่รุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าที่คาดไว้ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า กล่าวคือการที่บริษัทไม่สามารถทำให้อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวต่ำกว่า 2 เท่าหลังปี 53 จะส่งผลในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ในทางตรงกันข้ามความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งตลอดวัฏจักรขาลง ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอและอัตราส่วนหนี้สินลดลงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยทำให้แนวโน้มอันดับเครดิตของ PTTCH กลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้