ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 มิ.ย.) หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐได้รายงานอัตราว่างงานเดือนพ.ค.ที่พุ่งขึ้น 9.4% นับเป็นสถิติที่สูงสุดในรอบกว่า 25 ปี แม้ว่า การปลดพนักงานจะชะลอตัวลงกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก็ตาม ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 12.89 จุด หรือ 0.2% แตะที่ 8,763.13 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 2.3 จุด หรือ 0.3% แตะที่ 940.09 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 0.60 จุด หรือ 0.1% แตะ 1,849.42 จุด
แอนโทนี่ คอนรอย หัวหน้าเทรดเดอร์ของบีเอ็นวาย คอนเวิร์จเอ็กซ์ กรุ๊ป กล่าวว่า การที่ประชาชนในสัดส่วนถึงเกือบ 10% ยังว่างงานอยู่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นบวกได้
นักลงทุนจับตาตัวเลขว่างงานอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่จำนวนผู้ว่างงานส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้และทำให้การใช้จ่ายหดตัวลงมากและยังเป็นปัจจัยที่เป็นปัญหาอย่างยิ่งในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐในขณะนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า บริษัทเอกชนได้ลดพนักงานประจำเดือนพ.ค.อยู่ที่ 345,000 ราย นับเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 520,000 ราย นับเป็นสัญญาณที่สร้างความหวังในตลาดงาน แต่อัตราว่างงานเดือนพ.ค.ที่ทะยานขึ้น 9.4% จากสถิติเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 8.9% บ่งชี้ว่า บริษัทต่างๆยังคงลังเลที่จะจ้างพนักงาน
ดั๊ก โรเบิร์ตส์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของ ChannelCapitalResearch.com กล่าวว่า ตอนนี้มีตัวเลขที่เป็นบวกออกมาบ่งชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ตกลงถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว ตอนนี้ ทุกคนก็สงสัยว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในรูปแบบใด เพราะการที่เศรษฐกิจหลุดพ้นจากจุดต่ำสุดแล้ว ไม่ได้หมายความว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นมาก
นักลงทุนเลือกที่จะเข้ามาขายทำกำไร หลังจากที่หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ พลังงาน และเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเมื่อเร็วๆนี้
หุ้นเจพี มอร์แกน อ่อนตัว 2.3 และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วง 3.1%