นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมปรับเป้าสินเชื่อปีนี้อีกครั้งหลังจากไตรมาส 2/52 โดยคาดว่าอาจจะปรับลดลงเล็กน้อยจากเป้าหมายล่าสุดที่คาดว่าจะโต 6-7% หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อัตราการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารมีน้อยกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งสถานการณ์การเมืองขณะนี้ยังผันผวน แต่ยังเชื่อว่าหากรัฐบาลมีการกู้เงิน 4 แสนล้านบาทเข้ามาก็อาจจะช่วยทำให้เศรษฐกิจของไทยช่วงครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้นได้
นอกจากนี้ ในช่วงต้นไตรมาส 3/52 ธนาคารมีแผนขายหนี้ด้อยคุณภาพจำนวน 7,000- 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ระดับสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ลดลงไปประมาณ 3% ทั้งนี้ คาดว่าถึงสิ้นปี 52 NPL จะลดลงอยู่ในระดับ 5-6% จากสิ้น มี.ค.ที่อยู่ในระดับ 7.9%
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า ธนาคารได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ในระหว่างวันที่ 15-18 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้กองทุนขั้นที่ 2 ของธนาคารแข็งแกร่งมากขึ้น โดยจะเพิ่มเป็นกว่า 14% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 10.5% โดยขณะนี้มียอดจองเข้ามาเกินจำนวนที่เสนอขาย
*เปิดทางพันธมิตรทุกราย แต่ขึ้นกับกองทุนฟื้นฟูฯ
นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุน SCIB ว่า แม้ว่าในขณะนี้จะมีหลายรายเข้ามาสนใจ โดยล่าสุดเป็นธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟไชน่า(ICBC) ซึ่งผู้บริหารธนาคารยังไม่ได้รับการติดต่อ ขณะที่ บมจ.ทุนธนนชาต (TCAP) ก็สนใจเข้ามาร่วมทุนเช่นกัน โดยขณะนี้ TCAP ได้เข้ามาถือหุ้น SCIB สัดส่วน 4.9% และ บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย TCAP ก็เข้ามาถือหุ้น SCIB สัดส่วน 4.9% เท่ากัน
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่ถือหุ้นSCIB สัดส่วน 47.58% ซึ่งหากจะเลือกพันธมิตรรายเดียวหรือหลายรายก็ได้ โดยธนาคารเองก็ไม่มีปัญหา เพราะขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมทั้งรูปแบบการบริการที่ทันสมัยและพนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากเข้ามาเป็นพันธมิตร ธนาคารก็จะคาดหวังว่า จะเข้ามาช่วยส่งเสริมพัฒนาด้านเทคโนโลยี และประสานวัฒนธรรมองค์กรได้
"ผมคิดว่าเขา (ICBC) คงจะไปคุยกับกองทุนฟื้นฟูฯ ผมเองก็ต้องติดตามข่าว ...ตอนนี้เรื่องพันธมิตรผมเฉยๆ ไม่ได้รีบร้อน เพราะผมเข้ามา 2 ปี แล้ว ตอนแรกมีคนบอกว่าผมคงอยู่ไม่ถึง 6 เดือน แต่ที่ผ่านมาทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ พนักงานให้ความร่วมมือดี ...ใครมา เราก็หวังว่าวัฒนธรรมองค์กรจะไปด้วยกันได้ " นายชัยวัฒน์ กล่าว
ขณะเดียวกันธนาคารรุกสร้างภาพลักษณ์องค์กรครั้งใหญ่ โดยตั้งเป้าเปิดสาขารูปแบบใหม่ ปรับปรุงระบบเทคโนโลยีและบริหารสาขา โดยปีนี้ตั้งเป้า 15 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อสร้างจุดให้บริการสร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้า พร้อมกันนั้นได้จัดทำสื่อโฆษณา ชุด"SCIB Heart" เพื่อตอกย้ำการเป็นธนาคารที่ให้บริการด้วยใจแก่ลูกค้าตลอดจนให้ความเชื่อมั่นต่อแบรนด์แก่ลูกค้าและนักลงทุน โดยใช้งบทั้งหมด 100 ล้านบาท
*ครึ่งปีหลังเร่งต่อยอดธุรกิจผ่านบริษัทลูก
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ บริษัทจะเน้นกลยุทธ์ในบริษัทในเครือเพื่อต่อยอดธุรกิจ ได้แก่ บล.นครหลวงไทย , บลจ.นครหลวงไทย และ บมจ.ราชธานี ลิสซิ่ง(THANI) โดยทั้ง 3 บริษัทยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดย THANI มีแผนเพิ่มทุนเพื่อขยายกิจการ คาดว่าจะมีรายละเอียดและดำเนินการในเดือนก.ค.นี้
ขณะที่ บล.นครหลวงไทย อาจจะหาพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทั้งด้านโบรกเกอร์ และ วาณิชธนกิจ เพราะมองว่าใน 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทหลักทรัพย์จะอยู่รอดได้ต้องมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 3-5% จากปัจจุบันที่บล.นครหลวงไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1%
ส่วนบลจ.นครหลวงไทยนั้น ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ที่บริหารจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาทในสิ้นปี 53 จากปัจจุบันมีจำนวน 6 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ก็ยังมีธุรกิจประกันชีวิต และประกันภัย ด้วย ซึ่งนายชัยวัฒน์มองว่า ธุรกรรมเหล่านี้ หากไม่มีธนาคารก็ยากที่โต ดังนั้นเชื่อว่า ศักยภาพของธนาคารนครหลวงไทย จะเติบโตจากธุรกรรมบริษัทในเครือผ่านระบบธนาคาร
"หลังจากที่เราออกหุ้นกู้ ก็จะช่วยให้บริษัทในเครือแข็งแรงขึ้น เรากำหนดนโยบายหลัก เราจะบริหารภายใต้ SCIB Family ตอนนี้บริษัทในเครือกำลังปรับตัว " นายชัยวัฒน์ กล่าว