บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH)จำนวนไม่เกิน 3.0 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2559 และ 2562 ที่ระดับ ‘A+(tha)’ โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจหลักของบริษัท
ปัจจุบัน PTTCH มีอันดับเครดิตดังต่อไปนี้
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’
- อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ที่มีหลักประกันที่ ‘AA-(tha)’
- อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิที่ ‘A+(tha)’
อันดับเครดิตของ PTTCH สะท้อนถึงการสนับสนุนจากความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจและการดำเนินการที่มีในระดับที่สูงกับบมจ.ปตท.ท.(PTT) ปัจจุบัน ฟิทช์จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ปตท. ที่ระดับ AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ เนื่องจาก PTTCH เป็นผู้ดำเนินการหลักสำหรับกลุ่ม ปตท.ในธุรกิจปิโตรเคมีที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ นอกจากนี้ PTTCH ยังมีสัญญาการจัดซื้อวัตถุดิบในระยะยาวกับ ปตท. และมีสัญญาการขายในลักษณะ Off-take Agreement กับ ปตท.อีกด้วย
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่ PTTCH มีขนาดการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่ใหญ่และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ รวมถึงการขยายการผลิตลงไปในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้รวมและช่วยลดความผันผวนของรายได้ในระยะยาวอีกด้วย
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องทางการเงินที่ดีของ PTTCH แม้ว่าจะมีแนวโน้มอ่อนแอลงในปี 2552 ก็ตาม
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงปัจจัยความเสี่ยงทางด้านความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฏจักรของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้าง(Execution Risk)ของโครงการลงทุนใหม่และแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงวัฏจักรอุตสาหกรรมขาลง
แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบสะท้อนถึง การคาดการณ์ของฟิทช์ว่าความสามารถในการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ในขณะที่หนี้สินและอัตราส่วนหนี้สินมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าที่คาด เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าที่คาดไว้ รวมถึงการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่มีภาระผูกพันต้องจ่ายอยู่ในระดับสูงในช่วงปี 2552 ถึง 2553 นอกจากนี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการหดตัวลงของอุปสงค์อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย