บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม(AKR)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 บริษัทฯ และ บริษัทย่อยฯ ได้รับสำเนาคำฟ้องคดีผู้บริโภค ศาล จังหวัดพระโขนง ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ความแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ.2824/2552 ระหว่างธนาคารทหารไทยเป็นโจทก์ ฟ้องดำเนินคดีกับ บมจ.เอกรัฐโซล่าร์ ในฐานะจำเลยที่ 1 , บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม ในฐานะจำเลยที่ 2 เรื่อง ผิดสัญญากู้เงิน, สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี, ตั๋วสัญญาใช้เงิน, ค้ำประกันและบังคับจำนองจำนวนทุนทรัพย์ 933,450,754.15 บาท
โจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาคดีโดยมีคำขอท้ายฟ้องดังต่อไปนี้ โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 933,450,754.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 885,731,137.05 บาท นับแต่วันฟ้อง 3 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นภายใน
หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามข้อ 1. ให้ยึดทรัพย์จำนวน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9887, 9888, 9985, 9986 ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้วและที่จะมีต่อไปในภายหน้า และเครื่องจักร, เครื่องเชื่อม, เครื่องประกอบ, เครื่องล้าง ฯลฯ หมายเลขทะเบียน (48-309-404) 0001 ถึง 0007 รวม 7 เครื่อง และเครื่องจักร,เครื่องตรวจสอบ, เครื่องกัดผิว, เครื่องลำเลียง, เครื่องเคลือบ, เครื่องล้าง, เครื่องพิมพ์ ฯลฯ หมายเลขทะเบียน (51-314-403) 0001 ถึง 0030 จำนวน 30 เครื่อง และยึดทรัพย์จำน ของจำเลยที่ 1 รวมตลอดทั้งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
พร้อมทั้งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความในอัตราสูงสุดแทนโจทก์ด้วย
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากบริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ AKR กู้ยืมเงินกับธนาคารทหารไทย เพื่อดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตเซลล์และผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้น แต่เนื่องจากความล่าช้าในการนำหลักทรั พย์ของบริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และภาวะเศรษฐกิจ ที่ไม่เ อื้ออำนวยในการทำธุรกิจจึงทำให้บริษัทย่อยไม่สามารถจ่ายชำระหนี้คืนได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ และบริษัทฯ มีการดำเนินการเจรจา และแก้ไขสัญญาการใช้วงเงินสินเชื่อกับทางธนาคารหลายครั้ง
แต่ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 ทางธนาคารได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาการใช้วงเงินสินเชื่อของทางธนาคาร และขอบอกกล่าวบังคับจำนองให้บริษัทย่อย ในฐานะลูกหนี้ และบริษัทฯ ในฐานะผู้ค้ำประกัน ชำระหนี้จำนวน 901,813,879.94 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน ซึ่งทางบริษัทย่อยได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว และได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับทางธนาคาร แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้บริษัทย่อยไม่สามารถดำเนินการชำระหนี้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้ทันตามกำหนด จนกระทั่งมีการยื่นฟ้องดังกล่าว