ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลง ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น และยอดการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่ดีเกินคาด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 31.90 จุด หรือ 0.37% แตะที่ 8,770.92 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.74 จุด หรือ 0.61% แตะที่ 944.89 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 9.29 จุด หรือ 0.50% แตะที่ 1,862.37 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.22 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 1,866 ต่อ 1,167 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq มีอยู่ราว 2.49 พันล้านหุ้น
ดอจ ล็อควู๊ด นักวิเคราะห์จาก Cornerstone Wealth Management กล่าวว่า นักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดของสหรัฐ รวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบส้ปดาห์ที่แล้ว ร่วงลง 24,000 แตะที่ 601,000 ซึ่งเป็นสถิตที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 0.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปิดบวกไม่มากนักเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลหลังจากมีรายงานว่ายอดบ้านหลุดจำนองของสหรัฐในเดือนพ.ค.พุ่งทะลุ 300,000 หลัง ซึ่งทำสถิติทะยานขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอาจพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.8 ล้านหลังในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เจย์ บริกแมนน์ นักวิเคราะห์จากสมาคม Mortgage Bankers Association กล่าวว่า "ยอดบ้านหลุดจำนองมีมากกว่าบ้านที่ขายไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสหน้าเป็นอย่างต่ำ" ขณะที่ริก ชาร์กา รองประธานฝ่ายบริหารด้านการตลาดของ RealtyTrac เผยว่าบ้านที่จำนองไว้ในปี 2548 หรือก่อนหน้านั้นมีแนวโน้มที่จะถูกยึดมากขึ้น เนื่องจากอัตราว่างงานปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ จอห์น ซิม นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวว่า ยอดบ้านหลุดจำนองของสหรัฐอาจพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 6.4 ล้านหลังในช่วงกลางปี 2554 ขณะที่ยอดขายบ้านหลุดจำนองค้างสต็อกที่รอปิดการขายส่อเค้าทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 2 ล้านหลังในกลางปีหน้า ขณะที่ราคาบ้านเฉลี่ยในสหรัฐจะลดลง 39%
หุ้นกลุ่มพลังงานนำตลาดดีดตัวขึ้นหลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน และทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นเหนือระดับ 73 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน ซึ่งหนุนราคาหุ้นกลุ่มทรัพยากร อาทิ เชฟรอนและอัลโค โดยดัชนี S&P หุ้นกลุ่มพลังงาน บวก 1.8%