นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง(NCH)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/52 จะสามารถทำกำไรอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/52 เพราะบริษัทจัดโปรโมชั่นเพื่อจูงใจลูกค้า โดยบางโครงการลูกค้าสามารถเข้าอยู่ได้เลยเพียงแค่จ่ายเงินดาวน์ 50,000 บาท รวมทั้งมีการรับรู้จากโครงการเก่าประมาณ 2-3 พันล้านบาท และยังจะทยอยรับรู้ฯ ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/52 บริษัทมีกำไร 26.367 ล้านบาท แต่ส่วนหนึ่งเป็นการรับรู้รายได้จากการยึดเงินมัดจำจากการโอนขายที่ดินของบริษัทฯ วงเงิน 30 ล้านบาท
นายสมเชาว์ กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพคล่องบริษัทปรับเพิ่มขึ้นมาก เพราะยอดขายดีขึ้น และบรรยากาศการขายโครงการมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากยอดการเข้าชมโครงการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือน พ.ค.แต่ก็ยังประเมินความแน่นอนได้ค่อนข้างยาก เพราะภาวะเศรษฐกิจยังมีความผันผวน ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงยังยึดแนวทางที่จะลงทุนอย่างระมัดระวัง และงดการเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม แต่อาจพิจารณาซื้อที่ดินที่มีศักยภาพเพื่อใช้พัฒนาโครงการ
"มาตราการอสังหาฯ ที่รัฐบาลต่ออีก 1 ปีทำให้ผู้บริโภคกลับมาซื้อบ้านเพิ่มขึ้นถึงแม้จะมีบ้างบางช่วงที่ชะลอไปบ้างซึ่งตอนนี้ผมว่าเริ่มเข้าสู่ปกติแม้บรรยากาศทางการเมือง เศรษฐกิจจะดีขึ้นแต่ความไม่แน่นอนก็ยังมีเหมือนกันเพราะฉะนั้นการลงทุนอย่างระมัดระวังจะปลอดภัยที่สุด ที่ดินเราก็ไม่รีบซื้อเหมือนกัน เพราะเรามีสต็อกที่ดินอยู่แล้ว แต่ถ้าที่สวยก็ซื้อและใช้เลย"นายสมเชาว์ กล่าว
พร้อมกันนั้น บริษัทได้ปรับวิธีการดำเนินธุรกิจ โดยประเด็นหลักจะให้ความสำคัญกับบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนมากขึ้นในปีนี้หรือมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 70-80% ของรายได้ทั้งหมด จากปีก่อนสัดส่วนอยู่ที่ 68% ขณะที่บ้านสร้างตามคำสั่งจะมีสัดส่วนรายได้เหลือ 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 23% ถือเป็นการลดความเสี่ยงและยังทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ได้เร็วด้วย
นอกจากนั้น บริษัทจะเน้นการนำโครงการเก่าในสต็อกที่มีอยู่ประมาณ 2-3 พันล้านบาทออกมาระบายก่อน ซึ่งรวมทั้งที่ดินที่มีอยู่ ก็อาจจะพิจารณาขายออกไปบ้าง เชื่อว่าจะเพียงพอในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท อีกทั้งยังทำให้ไม่ต้องรีบเปิดโครงการใหม่ด้วยภายใต้ความเสี่ยง และยังการปรับปรุงโครงสร้างการสร้างบ้านให้มีความกระทัดรัดมากขึ้น โดยเฉพาะงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อน
นายสมเชาว์ กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจจะส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทลดลง มูลค่าหนี้ก็ลดลงด้วย ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิในปี 52 มีโอกาสสูงหรือเป็นบวกจากปีก่อนที่ขาดทุน 60 กว่าล้านบาท ซึ่งเห็นได้จากไตรมาส 1/52 มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีกำไรแล้ว 26 ล้านบาท
ประกอบกับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัททำการตลาดด้วยวิธีไดเร็กมาร์เก็ตติ้ง พร้อมทั้งฝึกภาษาอังกฤษให้กับพนักงานเพื่อขายโครงการให้กับลูกค้าต่างชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1.2 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท ขณะมีเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน(backlog)ประมาณ 100 กว่าล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ทั้งหมดในปีนี้
ส่วนความคืบหน้าเรื่องพันธมิตร นายสมเชาว์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังเจรจากันอยู่ แต่บริษัทไม่รีบร้อนที่จะต้องหาข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ ประกอบกับเชื่อว่าจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นพันธมิตรต่างประเทศก็คงต้องการเวลาในการประเมินข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อน