ทริสเรทติ้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ศุภาลัย(SPALI) ที่ระดับ “BBB+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย แบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม ความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินที่มั่นคงแม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อันดับเครดิตของหุ้นกู้นั้นยังได้รับแรงหนุนจากมูลค่าของอาคารสำนักงานให้เช่า “ศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์" ซึ่งใช้เป็นหลักประกันที่ระดับ 1.7 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้คงค้างตลอดอายุของหุ้นกู้ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและโอนห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมได้ตามแผน ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นโครงการซื้อคืนหุ้นสามัญในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 50% แม้ว่ายังมีโครงการคอนโดมิเนียมอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
SPALI เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยชั้นนำของไทย ซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งปัจจุบัน ณ เดือนเมษายน 2552 ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทที่ถือครองหุ้นในสัดส่วนทั้งสิ้น 28% ณ เดือนมีนาคม 2552 บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวนมากกว่า 30 โครงการ ด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 14,000 ล้านบาท จำแนกเป็นโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรอย่างละครึ่ง
ราคาขายโดยเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยในทุกโครงการของบริษัทอยู่ที่ 2.3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์การให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าระดับรายได้ปานกลาง ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้ในโครงการจัดสรรที่กระจายตัวอยู่ในทำเลที่หลากหลายด้วยการมีแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาด
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงผลการดำเนินงานของ SPALI ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่ายังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวถึง 6,170 ล้านบาทในปี 2551 จาก 3,441 ล้านบาทในปี 2548 รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการขายที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ในขณะที่รายได้จากค่าเช่าอาคารสำนักงานและโรงแรมยังมีสัดส่วนไม่มาก ผลของมาตรการทางด้านภาษีของรัฐบาลทำให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 39% ในไตรมาสแรกของปี 2552 จาก 31% ในไตรมาสเดียวกันของปี 2551 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรในปี 2550-2551 อยู่ที่ประมาณ 20% และเป็น 28% ใน 3 เดือนแรกของปี 2552 ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้น แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนกลับเพิ่มขึ้น
โดย ณ สิ้นปี 2551 บริษัทได้ก่อภาระหนี้เพิ่มเพื่อก่อสร้างโครงการและซื้อหุ้นสามัญคืน โดย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2552 บริษัทใช้เงินไปแล้วกว่า 300 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นสามัญจำนวน 134 ล้านหุ้น (หรือ 7.8% ของจำนวนหุ้นสามัญคงเหลือ) โดยมีเงื่อนไขที่จะต้องขายหรือยกเลิกหุ้นดังกล่าวทั้งหมดออกไปภายในเวลา 3 ปี มีผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 43% ในปี 2550 เป็นเกือบ 50% ในปี 2551 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเล็กน้อยลงมาอยู่ที่ 45% ในเดือนมีนาคม 2552
ภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนอันเป็นผลมาจากปัญหาทางการเมืองในประเทศและวิกฤติการณ์ทางการเงินของโลก ในช่วงปลายปี 2551 อุปสงค์ของที่อยู่อาศัยเริ่มหดตัวลงเนื่องจากปัจจัยลบหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อตลาดพร้อมๆ กัน
นอกจากนี้ เหตุการณ์จราจลในช่วงกลางเดือนเมษายน 2552 จนนำไปสู่การประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เป็นอย่างมากและจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในที่สุด ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความแน่นอนยิ่งขึ้นเท่าใด ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความต้องการที่อยู่อาศัยจะเข้าสู่ภาวะชะงักงันยิ่งขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้ แม้ว่ามาตรการทางด้านภาษีซึ่งอนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านสามารถนำเงินซื้อบ้านในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและหดตัวในปี 2552 ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารสภาพคล่องอย่างระมัดระวังและดำรงความยืดหยุ่นทางการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันทางการเงินต่างๆ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเพื่อที่จะดำรงสถานะอันดับเครดิตเอาไว้