นักวิเคราะห์มองหุ้นไทยขึ้นต่อยากห่วงศก.ไม่ฟื้นจริง-คาด GDPปี 53เป็นบวก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 17, 2009 17:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์-นักวิชาการ มองโอกาสดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นต่อยาก หลังโดดมาถึง 40% เนื่องจากไร้ข่าวดีสนับสนุน-PE สูง ประกอบกับยังไม่แน่ใจการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐ หวั่นจะมีปัญหาระลอกใหม่ ระบุต้องติดตามการใช้จ่ายภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นในปีหน้า โดยคาดว่าจีดีพีกลับมาเป็นบวก 2.9% จากปีนี้ติดลบ 3.3% ขณะเดียวกันมองราคาน้ำมันอาจมีโอกาสปรับขึ้นหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวโดยคาดว่าปลายปีจะเห็นที่ระดับ 75-80 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังไปไม่ถึง 100 เหรียญ

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร (PHATRA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมา 40% ถือว่าอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีข่าวสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วโลก แต่หลังจากนี้มองว่าหากไม่มีข่าวดีมาสนับสนุนเพิ่มเติม การที่ตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องยาก ต้องรอผลการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุม G8 ในช่วงต้นเดือนก.ค.

นอกจากนี้ P/E ของตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่าสูง เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทแบียน เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตของภาคเอกชน ยังอยู่ในระดับไม่มาก ประมาณ 60% ซี่งเขาเห็นว่าระดับที่เหมาะสมควรจะมีการใช้กำลังการผลิต 75% ประกอบกับภาคเอกชนยังคงชะลอการลงทุน แต่เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนปีนี้ติดลบ 15-16% ซึ่งส่งผลให้จีดีพีปี 52 คาดว่จะติดลบ 3.30%

แม้ว่าขณะนี้มีการประเมินเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัว แต่จากการประเมินตัวเลขอัตราว่างงานตัวเลขสหรัฐ ยังคงปรับตัวเพิ่มจากระดับ 6% มาถึง 9% และแนวโน้มสิ้นปีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 10% ส่วนอัตราการซื้อบ้านที่มองว่าเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นนั้นหากมองตัวเลขที่แท้จริงพบว่าเพิ่มจริงเพียง 50% โดยอีกครึ่งเป็นบ้านที่ถูกยึดจากวิกฤตเศรษฐกิจและสามารถขายได้

รวมทั้ง ตลาดหุ้นในสหรัฐก็ปรับเพิ่มขึ้น 30% ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของผู้ประกอบการสหรัฐยังไม่เปลี่ยน ดังนั้น จึงมีความกังวลว่า เอ็นพีแอลอาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีก และเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ไม่ได้เกิดจากการประกอบการที่แท้จริง

สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อาทิ การแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 , ราคาสินค้าเกษตร, ธุรกิจการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ

"จากมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ออกมาที่เริ่มมีการใช้จ่ายผ่านระบบสารธารณูปโภคเชื่อว่าปีหน้า จีดีพีจะกลับมาเป็นบวก และคาดว่าอยู๋ที่ 2.9%" นายศุภวุฒิ กล่าวในงานสัมนาเรื่อง"กลุยุทธ์การลงทุนในทองคำ น้ำมัน ตลาดหุ้นโลก"

ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่เริ่มมีทิศทางอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาน้ำมันปรับขึ้นไปสูงกว่า 70 เหรียญ/บาร์เรล อยู่บนพื้นฐานเก็งกำไร และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้ทิศทางแนวโน้มราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลง

"เชื่อว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจริงทั้ง สหรัฐ ยุโรป และเอเชีย จะเริ่มมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีอาจเห็นราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 75-80 เหรียญ/บาร์เรล แต่การที่จะปรับขึ้นไปถึง 100 เหรียญเหมือนปีก่อนเป็นเรื่องยาก และไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากหากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูง เชื่อว่าผู้ผลิตน้ำมัน น่าจะมีการปรับการผลิตเพิ่มขึ้น" นายมนูญ กล่าว

ส่วนกรณีภาครัฐจะยกเลิกการใช้ ไบโอดีเซลบี2 และ แก๊สโซฮออล์เบนซิน 91 โดยส่วนตัวเห็นด้วย เพราะว่าเมื่อพิจารณาต้นทุนการผลิต พบว่า ไบโอดีเซลบี2 มีต้นทุนน้ำมันปาล์มสูง และแก๊สโซฮออล์ 91 มีต้นทุนจากราคาเอทานอลสูงด้วย

แต่การที่รัฐตรึงราคาก๊าซ LPG และ NGV นั้นตนไม่เห็นด้วย เนื่องจากทำให้ การใช้พลังงานที่แท้จริงบิดเบือนไป และกลุ่มผู้ใช้รถหันมาใช้ LPG และ NGV มากาขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศไม่มีเสถียรภาพการใช้พลังงาน

ขณะที่นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน มองว่าในช่วงนี้นักลงทุนควรมีการลงทุนในทองคำ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงโดยระดับทองคำที่เหมาะสมคือ 15,000 บาท ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะได้รับผลตอบแทนที่ดี เพราะทิศทางราคาทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้นในอนาคตเพราะสินค้าจำกัด



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ