นายปริพล ธนสุกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยเกรียง กรุ๊ป(TDT)เปิดแผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ทันทีตั้งแต่ปีนี้ หลังขายหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ของ บมจ.ณุศาศิริ แกรนด์ และบริษัท เค เอ็ม พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โดยคาดว่าจะกลับมาซื้อขายในหมวดอสังหาริมทรัพย์ได้ในไตรมาส 2/53
"เราดูและศึกษาเลือกซื้อโครงการที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า แต่เป็นโครงการที่พัฒนาแล้วและพร้อมที่จะต่อยอดอีกนิดหน่อยก็ขายได้เลยภายใน 3 เดือน 6 เดือน และคาดว่าจะปิดโครงการได้ทั้งหมดภายใน 4 ปีนับจากวันที่เข้าร่วมธุรกิจกันคือปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งตามประมาณการณ์คาดว่าปีนี้พลิกมาบวกทันที เพราะคนขายมีบ้านอยู่ในสต็อกแล้ว พร้อมขาย"นายปริพล กล่าว
ด้วยศักยภาพของผู้บริหารชุดเก่าผสมกับชุดผู้บริหารของ TDT ขณะที่บริษัทมีเงินสดอยู่แล้ว ก็จะสามารถดำเนินกิจกรรมการทางการตลาดและสร้างบ้านให้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะมีสต็อกล็อตแรกที่พร้อมจะออกขายได้ทันที ซึ่งจะทำให้บริษัทพลิกกลับมากำไรได้ในปีนี้ และสามารถนนำหลักทรัพย์ของ TDT กลับมาซื้อขายหมวดอสังหาริมทรัพย์ประมาณไตรมาส 2/53
*ซุ่มเจรจานานเป็นปีก่อนสรุปทำแบ็คดอร์ฯ
นายปริพล กล่าวว่า ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าซื้อสินทรัพย์ บมจ. ณุศาศิริ แกรนด์ และ บริษัท เค เอ็ม พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทต้องใช้เวลานานเป็นปี เนื่องจากมีหลายกลุ่มเสนอตัวเข้ามา ทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่ณุศาศิริ และเค เอ็ม พีฯ เพราะเป็นข้อเสนอและเงื่อนไขน่าสนใจที่สุด เนื่องจากขนาดไม่ใหญ่เกินไป หรือบางรายขนาดก็เล็กกินไปจนไม่เอื้อให้บริษัทกลับเข้ามาเทรดได้
"เราศึกษาดำเนินการกันมานานมาก เรามองบริษัทพร๊อพเพอร์ตี้ที่เข้าข่ายสามารถ Joint กับเราได้ แล้วก็มาลงตัวที่ 2 รายนี้ เนื่องจากมีธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของเรา และทางณุศาศิริก็อยากจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้วด้วย เราก็เสนอว่าก็มาเข้าผ่านไทยเกรียงฯ ก็ได้ โดยที่เราก็มีเงินสดเหลือ ทางนั้นก็มีสินทรัพย์ที่พร้อมจะสร้างรายได้ได้เลย จะเรียกว่าณุศาศิริ Backdoor Listing ก็ได้"นายปริพล กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
หลังจากนี้ค งเป็นไปตามกระบวนการตามขั้นตอนของตลาดหลักทรัพย์และผู้ถือหุ้นที่จะต้องอนุมัติแผนลงทุนและให้บริษัทออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกทรัพย์สินของณุศาศิริและเค เอ็ม พีฯ ที่จะเข้ามาถือหุ้นใน TDT รวมกันประมาณเกือบ 50% ซึ่งบริษัทก็จะมีการปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อให้ที่นั่งในคณะกรรมการกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่หรืออาจจะสรรหาบุคคลมืออาชีพเข้ามาทำงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
"อาจจะมี Board Seat ไว้ให้เพราะทางนั้นก็เข้ามาถือหุ้นเราเยอะเหมือนกันเกือบๆ 50% หรือไม่ก็หามืออาชีพด้านพัฒนาอสังหาฯ เข้ามา ซึ่งคงต้องเขย่าขวดกันใหม่"นายปริพล กล่าว
นายปริพล กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นจะต้องพอใจกับแผนลงทุนของบริษัท เนื่องจากเป็นทางเลือกสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้ก่อนเทรดหรือไม่ก็ทันทีหลังเทรด ตามนโยบายที่บริษัทกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ
"เราต้องทำกำไรก่อน Resume Trade อยู่แล้ว เดี๋ยวขอดู Cash Flow ก่อน ถ้าพร้อมเราก็จะจ่ายปันผลทันทีตามนโยบายเดิม คือ ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ"นายปริพล กล่าว
*เปลี่ยนชื่อเป็น"อั่งเปา แอสเสท"-เตรียมรีแบรนด์ดิ้งบางโครงการในมือ
นายปริพล กล่าวถึงการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น "อั่งเปา แอสเสท" เนื่องจากเราอยากให้นักลงทุนต่างชาติในแถบเอเชียเข้ามาลงทุนในหุ้นเรา จึงต้องเลือกที่เป็น Inter Asian ซึ่งมาตัวที่ชื่อนี้ อีกอย่างใช้ชื่อไทยเกรียงฯมานานมากแล้ว ไหนๆ จะกลับเข้ามาซื้อขายใหม่ก็เปลี่ยนชื่อใหม่ไปเลย
บริษัทมีแผนจะรีแบรนด์ดิ้งเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านที่ซื้อมาจากเค เอ็ม พีฯ แล้วก็จะทำการตลาดใหม่ ส่วน 4 โครงการที่ซื้อจากณุศาศิริคงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะเรายังมั่นใจว่าบ้านราคาระดับพรีเมี่ยม 13-15 ล้านบาทขึ้นไปยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่
นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหรือคอนโดฯ Low rise เองด้วย โดยปัจจุบันมีผู้มาเสนอขายที่ดินอย่างต่อเนื่อง แต่คงต้องรอพิจารณาความเหมาะสม
ส่วนเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการแข่งขันสูง แต่ละตลาดไม่ว่าจะเป็นแนวราบ แนวสูงต่างก็มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว นายปริพล กล่าวสั้นๆ ว่า ไม่กังวล เพราะณุศาศิริเองก็เป็นเจ้าตลาดเหมือนกัน มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มชัดเจน รวมทั้งมีทีมงานการตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งเราก็จะทำการคัดกรองบุคคลากรที่จะมาร่วมงานกัน
"ก่อนที่เราจะเข้าซื้อโครงการ เราศึกษาแล้วและเชื่อว่าตลาดยังไปได้ บ้านราคาระดับพรีเมี่ยมยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่"นายปริพล กล่าว