โบรกฯ หนุน"ซื้อ"MINT มองหวัดใหญ่กระทบไม่มาก-ปี 53 โอกาสโตก้าวกระโดด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 19, 2009 15:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)มองได้รับผลกระทบจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่มาก เชื่อไตรมาส 4/52 ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว ขณะที่ธุรกิจอาหารยังเติบโตได้ดี คาดว่าปีหน้าผลประกอบการจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ หลังการควบรวมกับ MINOR เสร็จ ทำให้กำไรต่อหุ้น(EPS)ของบริษัทเพิ่มขึ้นราว 18-20%

ราคาหุ้น MINT ปิดเที่ยงที่ 7.90 บาท บวก 0.05 บาท (+0.64%) โดยราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 8.00 บาท

          โบรกเกอร์       คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.บัวหลวง        ซื้อ             13.70
          บล.ฟิลลิปฯ         ซื้อ             10.30
          บล.ดีบีเอสฯ        ซื้อ             10.20
          บล.เอเซียพลัส      ถือ              8.85

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า แม้จะความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่เห็นว่าผลกระทบทางลบไม่รุนแรงสำหรับ MINT เนื่องจากธุรกิจอาหารยังไปได้ดี โดยรายได้จากธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ยังมีการขยายตัวจากการเปิดสาขาใหม่และอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Margin)ยังอยู่ในระดับสูง เพราะบริษัทมีการปรับเมนูและออกแคมเปญส่งเสริมการขายต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างใหม่เรียบร้อยแล้วเมื่อมีการควบรวมกิจการกับ บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น(MINOR) ทำให้ราคาพื้นฐานที่เราวิเคราะห์ไว้ได้ขยับขึ้น โดยราคาเป้าหมายปรับขึ้นมาจาก 9.00 บาท เป็น 10.20 บาท

"จุดเด่นยังเป็นเรื่องธุรกิจอาหารที่ยังแข็งแกร่ง เราคิดว่าธุรกิจท่องเที่ยวของไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ ยังคงแนะนำซื้อ"น.ส.อาภาภรณ์ กล่าว

ด้าน น.ส.ปรียนันท์ ตรีเพชรชูพร นักวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)มองว่า จุดเด่นของ MINT ที่เป็นผู้ประกอบการที่มีทุกอย่างครบทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรม ทำให้ตัวบริษัทแข็งแกร่ง แม้ว่าขณะนี้ธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบ แต่เมื่อถึงจุดฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ก็เชื่อว่าบริษัทจะฟื้นตัวกลับคืนมาเหมือนกัน โดยมองว่าปลายปีนี้น่าจะเป็นจังหวะของการฟื้นตัว คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/52 จะเร่งตัวขึ้น

"เราคิดว่าจังหวะนี้เป็นจังหวะที่น่าลงทุนหุ้น MINT แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 2-3 จะออกมาไม่ดี แต่เราคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ทยอยสะสมหุ้นเพื่อการฟื้นตัว แต่ไม่แนะนำลักษณะไล่ซื้อหุ้น ควรจะรอให้ราคาอ่อนตัว คิดว่าซื้อเพื่อรอตอนฟื้นตัวน่าจะดี เพราะว่าฟื้นตัวราคาก็จะสะท้อนไปแล้ว"น.ส.ปรียนันท์ กล่าว

จากการที่บริษัทควบรวมกิจการกับ MINOR เสร็จแล้วจะมีจำนวนหุ้นลดลง ส่งผลให้กำไรต่อหุ้น(EPS)ดีขึ้น

ขณะที่นักวิเคราะห์ จากบล.เอเซียพลัส แนะนำแค่"ถือ"เพราะราคาใกล้ Fair Price ที่ไห้ไว้ 8.85 บาท จึงมี upside ไม่สูง รวมทั้งมองว่าธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ประกอบกับสถานการณ์การเมืองยังไม่ดี และช่วงไตรมาส 2-3 เป็นช่วงนอกฤดูกกาลท่องเที่ยว (Low Season)

ดังนั้น ผลประกอบการปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนคงไม่ดีมากนักและจะมีกำไรได้ไม่มาก แต่การที่บริษัทได้ควบรวมกิจการกับ MONOR ส่งผลดีต่อ EPS ดีขึ้น เพราะจำนวนหุ้นลดลง แม้ว่ากำไรจะหดตัวลงก็ตาม

ส่วน บล.บัวหลวง มองหุ้น MINT โดดเด่นในกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ และคาดว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว เพราะมีทำเลที่ตั้งโรงแรมหลากหลายในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ทำให้คาดกำไรปี 53 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของโรงแรมทั่วโลก จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปซื้อในช่วงต่ำสุดของธุรกิจ

"เรามองข้ามผลประกอบการทรงตัวในปี 52 ไป โดยมองว่าได้สะท้อนในราคาหุ้นแล้ว โดยให้น้ำหนักกับผลประกอบการปี 53 ที่คาดว่าจะเติบโตถึง 23% ในขณะที่ EPS คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY เนื่องจากมีจำนวนหุ้นลดลงจากการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นไขว้กันระหว่าง MINT กับ MINOR เสร็จสิ้นในเดือนมิ.ย 52"บทวิเคราะห์ของบล.บัวหลวงระบุ

ทั้งนี้ มองว่าธุรกิจหลักเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจหลักเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี สำหรับร้านอาหารเปิดใหม่ และ 10% เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีสำหรับจำนวนห้องพักโรงแรม ในช่วงปี 52-56 โดยเราไม่กังวลเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจ เนื่องจากคาดการณ์ EBITDA ต่อปีที่ 4-5 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับงบจ่ายลงทุนรวม 5 ปีข้างหน้า(52-56) ที่ 12 พันล้านบาท

นอกจากนี้ โครงการที่อยู่อาศัยจะหนุนผลประกอบการปี 53-54 โดย MINT มีโครงการที่อยู่อาศัยระดับบน 2 โครงการ ได้แก่ Estate Samui มีพร้อมขาย มูลค่าเหลือรวมประมาณ 1 พันล้านบาท และ St Regis Residences ซึ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ปี 54 มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4 พันล้านบาท

ขณะเดียวกัน บล.ธนชาต ระบุว่า การรวม MINOR ในงบการเงินรวม จะทำให้ EPS ของ MINT เพิ่มขึ้นราว 18-20% จากกำไรสูงขึ้น จำนวนหุ้นลดลง และคาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาส 4/52 ทั้งนี้อยู่ระหว่างปรับประมาณการ

อนึ่ง MINT ได้ทำคำเสนอซื้อ MINOR ช่วง 11 พ.ค.-12 มิ.ย.52 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยวันที่ 22 มิ.ย.นี้จะมีลูกหุ้น MINT เข้ามาจำนวน 510.04 ล้านหุ้น และ MINOR พ้นสภาพการเป็นบริษัทจดทะเบียนในวันที่ 22 มิ.ย.นี้เช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ