บล.กสิกรไทย(KS) ตั้งเป้า ปี 52 มีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ที่ 4% จากสิ้นปี 51 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 1.47% โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามีส่วนแบ่งตลาดเฉลี่ยมากกว่า 2% พร้อมตั้งเป้าภายใน 2 ปีจะขึ้นเป็นโบรกเกอร์ชั้นนำ 1 ใน 3
น.ส.ณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในเดือนพ.ค.บริษัทสามารถทำมาร์เก็ตแชร์ได้แล้ว 2.32% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มลูกค้ารายใหม่อีก 3 พันบัญชีภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบัน 9 พันบัญชี ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 1 พันรายจะเป็นลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ถือเป็นลูกค้าระดับสูงที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะเสริมสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายงานในส่วนของเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เก็ตติ้ง)เพิ่มอีก 90 คน จากที่มีอยู่ 55 คน เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้า และเพื่อให้คำแนะนำที่มีคุณภาพกับลูกค้า แต่จะไม่เน้นการเปิดสาขาใหม่ในขณะนี้ จากที่มีสำนักงานใหญ่พหลโยธิน และสาขาถนนเสือป่า แต่ในอนาคตหากมีผลการศึกษาชัดเจนว่าการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างศักยภาพในการแข่งขันถ้ามีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 53 บริษัทก็จะหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาอีกครั้ง
น.ส.ณัฐรินทร์ กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะขึ้นเป็นโบรกเกอร์ระดับ Top 3 ทั้งในด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การทำบทวิเคราะห์ การเป็นที่ปรึกษาด้านวาณิชธนกิจภายในปี 54 ซึ่งในส่วนของงานที่ปรึกษาด้านวาณิชธนกิจ ขณะนี้มีงานเป็นที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ(M&A)ในมือ 10 ดีล คาดว่าจะสรุปได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ราว 5 ดีล และงานที่ปรึกษาการออกหุ้นเพิ่มทุน(PO) 1 ดีล ส่วนงานทีปรึกษาการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)ที่มีอยู่ 5 ดีลและมี 1-2 ดีลที่พอเป็นไปได้นั้น คงจะได้เห็นในปีหน้า
"ในช่วงไตรมาส 2 เรามีดีล M&A ขนาดใหญ่ที่รับเป็นที่ปรึกษา ซึ่งทำให้บริษัทพลิกมามีกำไร บวกกับวอลุ่มเทรดสูงเกินกว่า 2 หมื่นล้านบาทด้วย ซึ่งเป็นดีล M&A ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์"น.ส.ณัฐรินทร์ กล่าว
ด้านผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะกลับมามีกำไรในไตรมาส 2/52 หลังจากที่ขาดทุน 39 ล้านบาทในไตรมาส 1/52 และคาดว่าทั้งปีจะมีกำไรได้ เนื่องจากคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 หมื่นล้านบาท/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท/วัน
บริษัทประเมินว่าภาวะตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/52 เนื่องจากจะมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้น หลังจากไตรมาส 3/52 คาดว่าตลาดจะพักตัว เพราะภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่แน่นอนว่าจะฟื้นตัวหรือไม่ ประกอบกับราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูง แต่ไตรมาส 4/52 น่าจะดีขึ้น จากการประเมินเม็ดเงินต่างชาติที่รอเข้ามาลงทุนกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
พร้อมกันนั้น บริษัทยังคาดว่าในปี 53 จะมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มเป็น 40% จากขณะนี้อยู่ที่ 30% จากเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามา ประกอบกับจะมีความร่วมมือที่จะให้มีการเชื่อมโยงการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN Linkage) โดยบริษัทจะเริ่มทำโรดโชว์ร่วมกับทางบลูมเบิร์กในเดือน ก.ค.เริ่มในประเทศแถบเอเชียก่อน