แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูง บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส(SECC)กล่าวว่า การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่กำหนดมีขึ้นในวันที่ 29 ก.ค.นี้ตามที่ผู้ถือหุ้นเข้าชื่อเรียกร้องให้จัดขึ้นนั้นจะมีวาระสำคัญในการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและกรรมตรวจสอบให้ครบตามเกณฑ์ เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัท โดยเฉพาะการหาทุนเพิ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไป หลังจากหยุดชะงักไปตั้งแต่เกิดคดีการทุจริตของอดีตผู้บริหาร
"เรื่องที่จะประชุมวันนั้นก็มีวาระเดียวคือแต่งตั้งกรรมการบริหารและกรรมการตรวจสอบให้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดคือบริษัทหนึ่งๆ ต้องมีกรรมการบริษัทไม่ต่ำกว่า 5 คน เพราะการที่บริษัทติด SP ทำให้บริษัทดำเนินธุรกิจเต็มรูปแบบไม่ได้ เราก็ต้องปลดภาระทีละเรื่อง"แหล่งข่าว กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ธุรกิจของ SECC หยุดชะงักไปหลังจากนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ อดีตประธานกรรมการ ร่วมกับผู้บริหารจัดทำเอกสารเท็จยักยอกทรัพย์ ซึ่งถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กล่าวโทษให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ดำเนินคดี
แหล่งข่าว กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดคดีทุจริตอดีตผู้บริการทำให้กรรมการลาออกไปเกือบทั้งหมด เหลืออยู่เพียง 2 คน คือ นายกรวิวัฒน์ หรือเดิมชื่อนายไพบูลย์ สุขธรรมวงศ์ และนางสาวมุทิตา ทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้ ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องดำเนินการขณะนี้คือการหากรรมการขึ้นมาให้ครบ จากนั้นจะต้องจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ให้เรียบร้อยก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง
สำหรับผู้ถือหุ้นที่เข้าถือเรียกร้องให้มีการจัดประชุมวิสามัญขึ้น ครบตามเกณฑ์คือ 1 ใน 5 หรือประมาณ 22% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 617,820,181 หุ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นทุกคนมีสิทธิ์เสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมจะมารับหน้าที่กรรมการ ทั้งที่อาจจะเป็นนอมินีหรือถือ Epoxy มาก็เสนอได้ โดยอาจจะเสนอชื่อบุคคลที่เป็นมืออาชีพเข้ามาทำงานก็ได้
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า หลังจากมีกรรมการบริหารและกรรมการตรวจสอบครบตามจำนวนที่จะทำธุรกรรมได้แล้ว ก็เชื่อว่าผู้ถือหุ้นก็คงพร้อมที่จะเพิ่มทุนหรือสนับสนุนให้บริษัทลงทุนเพื่อกลับมาเดินหน้าธุรกิจต่อไปอย่างเต็มรูปแบบ โดยในขั้นต่อไปอาจจะเสนอให้คณะกรรมการชุดใหม่กำหนดนโยบายบริษัท พร้อมทั้งพิจารณาเพิ่มทุน หรือขอเงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมทั้งเจรจากับเจ้าหนี้
"ตอนนี้บริษัทมีรายได้จากการซ่อมรถเพียงอย่างเดียวพอที่จะจ่ายพนักงาน แต่ถ้าจะให้มีรายได้พอกพูนถึงขนาดกำไรเติบโตคงต้องมีการระดมทุนจำนวนหนึ่ง อาจจะเป็นการขอเพิ่มทุนหรือไม่ก็กู้ยืมจากคณะกรรมการชุดใหม่ แต่คงต้องผ่านการประชุมวันที่ 29 ก.ค.นี้ไปก่อน แล้วบอร์ดชุดใหม่คงจะมากำหนดทิศทางธุรกิจหรือนโยบายต่างๆ รวมถึงการเจรจาเจ้าหนี้ แหล่งข่าว กล่าว
*มั่นใจภายในปีนี้ SECC ฟื้นทั้งธุรกิจและภาพลักษณ์
แหล่งข่าว กล่าวว่า ภารกิจแรกที่คณะกรรมการใหม่ต้องดำเนินการ คือ การแก้ไขงบการเงินงบประจำปี 2551 ให้มีการตรวจสอบครอบคลุมในประเด็น Special Audit ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ สั่งการไว้ และจัดส่งงบการเงินประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552
"ถ้าเรื่องกรรมการและงบการเงินเรียบร้อย SP ก็ต้องถูกปลด เพราะเราถูกตลาดหลักทรัพย์ขึ้น SP เพราะ 2 เรื่องนี้"แหล่งข่าว กล่าว
จากนั้นก็จะถึงขั้นตอนการแก้ไขธุรกิจที่จะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการชุดใหม่ต้องพิจารณาแหล่งเงินหรือวิธีการได้มาของเงิน เพราะทุกวันนี้รายได้ของ SECC มาจากงานรับซ่อมรถเพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะเพียงพอต่อการอยู่รอดและจ่ายค่าแรงพนักงานได้ แต่ไม่พอชำระหนี้ ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องฟื้นธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์นำเข้าเพื่อสร้างรายได้และกำไร ซึ่งต้องใช้ทุนเข้ามาเพิ่ม
"เดิม SECC เป็นบริษัทที่มีตัวเลขการขายรถยนต์นำเข้ามากที่สุด เฉลี่ยประมาณ 100 คัน/เดือน ราคาขายต่อคัน 3 ล้านบาท แต่ตอนนี้รายได้ตรงนั้นหายไปหมด"แหล่งข่าว กล่าว
ขณะที่โชว์รูมและเป็นศูนย์บริการในตัวจาก 9 แห่งในปีที่แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ 3 แห่ง คือ พระราม 9, บางนา และพระราม 2 เพราะส่วนใหญ่หมดสัญญาเช่าที่ดิน ซึ่งก่อนเกิดคดีทุจริตก็ได้ปิดสาขาที่ถนนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพราะเจ้าของไม่ต่อสัญญาเช่า และหลังเกิดคดี บริษัทได้ยกเลิกการเช่าโชว์รูมที่ซอยทองหล่อ เพราะไม่มีเงินต่อสัญญา ซึ่งขณะนี้ผู้เช่าต่อไปทำเป็นร้านอาหารแล้ว
แหล่งข่าว มั่นใจว่าหลังกรรมการชุดใหม่เข้ามาแล้ว ทุกอย่างในบริษัทจะดีขึ้นแน่นอน เพราะว่ากรรมการไม่ได้มาแต่ตัว เอาทุนมาด้วยให้เราดำเนินธุรกรรมต่อไปได้, งบบัญชีก็ให้กรรมการชุดใหม่เข้ามาเคลียร์ พอเคลียร์ 2 จุดนี้แล้ว SP น่าจะปลด หุ้นกลับมาเทรดได้เหมือนเดิม ส่วนเรื่องภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคนั้น บริษัทได้เตรียมแผนการตลาดไว้เรียบร้อยแล้ว และเรื่องนี้มั่นใจ 100%
"ผมมั่นใจว่าทั้งหมดที่กล่าวมาภายในปีนี้ได้เห็นแน่"แหล่งข่าว กล่าว