ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามกระแสคาดการณ์ และได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 23.05 จุด หรือ 0.28% แตะที่ 8,299.86 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.84 จุด หรือ 0.65% แตะที่ 900.94 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 27.42 จุด หรือ 1.55% แตะที่ 1,792.34 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.10 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.18 พันล้านหุ้น
บรูซ แมคเคน หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Key Private Bank ในเมืองคลีฟแลนด์กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า นักลงทุนแทบจะไม่มีปฏิกริยาต่อการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ 0-0.25% เนื่องจากแถลงการณ์ของเฟดระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอ่อนตัวในบางภูมิภาค ขณะที่ภาคเอกชนได้ลดการลงทุนด้านสินทรัพย์คงที่และลดการจ้างงาน ซึ่งเป็นเหตุให้อัตราว่างงานยังคงพุ่งสูงขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและสกัดกั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวลงไม่มากนักเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากขานรับแถลงการณ์ของเฟดที่ระบุว่าเฟดยังคงเห็นชอบให้ดำเนินนโยบายฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้านต่อไป อีกทั้งจะยังคงนโยบายกระตุ้นการไหลเวียนสภาพคล่องในตลาดสินเชื่อต่อไปด้วย รวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มการรับซื้อตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีก 7.50 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนพ.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 0.9% อย่างไรก็ตาม ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.ลดลง 0.6% ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
หุ้นออราเคิล คอร์ป ปรับตัวขึ้น 7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่สูงเกินคาด และการพุ่งขึ้นของหุ้นออราเคิลเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนี Nasdaq ปิดบวก