โบรกฯ มอง H2/52 ตลาดหุ้นไทยยังมีความไม่แน่นนอนสูง Q3/52 มีแนวโน้มลดลง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 26, 2009 15:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวในงานสัมนาหัวข้อ"ชำแหละเศรษฐกิจและทิศทางหุ้นครึ่งปีหลัง"ว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความผันผวน โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่ดัชนี SET มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ความไม่ชัดเจนว่าจะสามารถฟื้นได้จริง

รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยในอนาคตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการที่รัฐบาลหลายประเทศยังคงมีแผนจะกู้เงินและการออกพันธบัตรเพื่อประคองสถานะประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ เพราะฉะนั้นมีโอกาสที่หุ้นจะถูกเทขายเพื่อทำกำไรเป็นปัจจัยกดดันอยู่ และจากปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยด้วย

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีในช่วงนี้สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ น่าจะเกิดจากกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสภาพคล่องในระบบยังคงมีอยู่มาก อย่างไรก็ตาม มองว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในช่วงนี้เป็นการพักฐานหรือไหลเข้ามาเพียงระยะสั้นๆ แต่ก็ทำให้มีโอกาสที่ดัชนี SET จะขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 630 จุดอีกครั้ง และคาดว่าปลายปีดัชนีจะแตะที่ระดับ 550 จุด เนื่องจากเชื่อว่าจะมีการเทขายทำกำไรเป็นระยะ เพราะเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน โดยจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลกน่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4/52 และกลับมาบวกในไตรมาส 1/53

ทั้งนี้ หากมองภาพรวมขณะนี้ถือว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้นจากตัวเลขบางตัวมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น แต่ถือว่ายังอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะยังมีความผันผวน ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีความชัดเจนว่าจะฟื้นตัวอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงต้องจับตาฐานะสถาบันการเงินสหรัฐว่าจะมีความมั่นคงขึ้นมากน้อยแค่ไหน และจะเริ่มปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ภาคธุรกิจในระยะต่อไปได้หรือไม่ หากไม่สามารถดำเนินการได้ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนคงเป็นไปไม่ได้

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวและปรับตัวลดลงได้อีกรอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่มีโครงสร้างอิงอยู่กับเศรษฐกิจต่างประเทศ เพราะไทยมีการส่งออกไปยังต่างประเทศสูงถึง 70% ของจีดีพี ท่องเที่ยว 10% ของจีดีพี หากเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นเศรษฐกิจไทยก็ฟื้นลำบาก และยังขึ้นกับว่ารัฐบาลจะสามารถผลักดันโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้มีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล เพราะจะเกิดความกังวลมากขึ้น และหากไม่มีรัฐบาลมาผลักดันโครงการต่างๆ ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เป็นช่วงตกต่ำมาก จะทำให้ทุกอย่างชะงักทันที ส่วนแผนการออกพันธบัตร 5 หมื่นล้านบาทคงไม่มีปัญหา เพราะสภาพคล่องในระบบมีมาก ซึ่งมองว่าในระยะต่อไปอัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงจากการที่รัฐบาลทั่วโลกออกพันธบัตรจำนวนมากเพื่อนำเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร (PHATRA) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นหรือลงประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ ราคาน้ำมัน ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ และ ตลาดหุ้นเอเชีย

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนในการฟื้นตัวจริงของเศรษฐกิจสหรัฐการลงทุนที่ดีควรที่จะกระจายการลงทุนประเภทอื่นนอกเหนือจากการถือเงินสดและหุ้น เช่น ทองคำ น้ำมัน หุ้นในต่างประเทศ อย่างตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิค เป็นต้น

"ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าสะท้อนการปรับตัวรับข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วที่ปรับขึ้นกว่า 40% และเท่าที่ดูปัจจัยพื้นฐานการปรับขึ้นที่ผ่านมาก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเพราะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยไม่ได้ฟื้น แต่กลับเป็นการปรับขึ้นจากราคาน้ำมันและค่าเงินที่อ่อนค่าลงมากกว่า" นายศุภวุฒิ กล่าว

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะติดลบ 3.3% โดยไตรมาส 2/52 และ 3/52 ยังมีตัวเลขติดลบแต่จะปรับตัวดีขึ้น และเริ่มพลิกกลับมาเป็นบวกในไตรมาส 4/52 ประมาณ 1-2% พร้อมทั้งประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะเติบโต 3.5% จากปัจจัยสำคัญคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ระยะยาวมาตรการดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามภาคการส่งออกที่ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากมีสัดส่วนสูงถึง 65% ของจีดีพี ซึ่งผู้ประกอบการวควรมีการปรับปรุงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจโดยการสร้างตลาดการส่งออก รวมถึงรัฐบาลควรมีมาตรการที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดส่งออกได้ ขณะที่กระแสความแบ่งแยกทางการเมือง ซึ่งถือเป็นปัญหาแม้ที่ผ่านมาจะมีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ก็ยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหา

นายศุภวุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องติดตามซึ่งหากเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมา เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่เติบโตตามทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจโลกจากในอดีตในปี 1987-1994 เศรษฐกิจของไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 9% สูงกว่าเศรษฐกิจโลกที่เติบโต 3% แต่เมื่อปี 2549 อัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้มีทิศทางเติบโตน้อยกว่าเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจไทยเติบโตที่ 4.2% ขณะที่เศรษฐกิจโลกเติบโต 4.5% อีกทั้งยังมีปัญหาแรงงานที่เพิ่มขึ้นแต่กลับไม่

มีงานรองรับที่เพียงพอ ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายอาจจะประคองธุรกิจไปจนถึงปลายปี และหากไม่มีสภาพคล่องเพียงพอจากธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาจได้รับผลกระทบ

ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แมัที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% แต่ก็ยังอ่อนไหวต่อปัจจัยที่เข้ามากระทบ โดยเชื่อว่าดัชนี SET จะปรับตัวลดลงอีกครั้ง แต่ในช่วงสั้นให้พิจารณาจากงบไตรมาสมาส 2 ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชะตาในช่วงสั้น

ทั้งนี้ ในส่วนอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 53% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ติดลบ 27% เนื่องจากปีก่อนได้รับผลกระทบจากธุรกิจน้ำมันขาดทุนจากสต็อกในปลายปี แต่ขณะนี้ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และประเมินในปีหน้า EPS จะเติบโตประมาณ 12%

หากประเมิน EPS เฉลี่ยกลุ่มในปีนี้ฝ่ายวิจัยมองว่ากลุ่มที่ให้กำไรสูงสุด 10 อันดับแรก คือ กลุ่มพลังงาน 82% , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 60% , กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 52% , กลุ่มสื่อสาร 41% , กลุ่มสถาบันการเงิน 31%,กลุ่ม ICT 18%, กลุ่มมีเดีย 17% ,กลุ่มอาหาร 10% ,กลุ่มโรงพยาบาล 5% และกลุ่มท่องเที่ยว 3%

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาว ควรมองว่าที่หุ้นนั้นมีการเติบโตสูง ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับต้องมีการพิจารณาจังหวะการลงทุนให้เหมาะสม โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางมีความน่าสนใจมีพื้นฐานดีจำนวน 100 บริษัทที่ยังมีราคาถูก ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้นมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 550-600 จุด แต่หากมีปัจจัยที่เข้ามากระทบอาจส่งผลให้หุ้นมีความผันผวน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ