ทริส คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดเดิม-ชุดใหม่ของ QH ที่ระดับ "A-"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 2, 2009 10:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดเดิมของ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์(QH) ที่ระดับ“A-"พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" เช่นกัน โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative" หรือ “ลบ"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่ได้รับการยอมรับมานานในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรราคาระดับกลางถึงสูง และการมีแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอจากค่าเช่าเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และอาคารสำนักงาน

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบให้อุปสงค์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซบเซา รวมทั้งวงจรธุรกิจที่มีความผันผวน นโยบายของธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อบ้านกู้เงินได้ยากขึ้น การขยายตัวของตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงเศรษฐกิจซบเซา และการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้ที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความคล่องตัวทางการเงินจากการถือครองเงินลงทุนในบริษัทร่วมและสินทรัพย์ให้เช่าซึ่งปลอดภาระหนี้และสามารถช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทในยามจำเป็นด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" สะท้อนถึงการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่สูงเกินคาดเนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงและบริษัทใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการซื้อที่ดินและก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงในอนาคตหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงอีกในอนาคตและบริษัทไม่สามารถลดภาระหนี้สินได้ตามที่วางแผนไว้

ทริสเรทติ้ง รายงานว่า QH เป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาดระดับกลางและระดับบน บริษัทก่อตั้งในปี 2526 โดย บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนเมษายน 2552 ประกอบด้วยบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ร่วมกับตระกูลอัศวโภคิน (25%) และ The Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. (11%)

ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากการมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัยราคาแพง รวมถึงการมีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่มีคุณภาพซึ่งประกอบด้วยอาคารสำนักงาน Q. House และเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ Centrepoint ซึ่งสามารถสร้างรายได้ค่าเช่าที่มีความสม่ำเสมอ และการมีโครงการบ้านจัดสรรราคาปานกลาง Casa Ville ซึ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้น ราคาขายที่อยู่อาศัยเฉลี่ยต่อหน่วยในโครงการทั้งหมดของบริษัทซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 6.8 ล้านบาทแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมากขึ้น

ณ เดือนมีนาคม 2552 บริษัทมีโครงการที่กำลังเปิดขายทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์รวมทั้งสิ้น 22 โครงการ คิดเป็นมูลค่าขายคงเหลือประมาณ 19,000 ล้านบาท โดยบริษัทมียอดขายโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 90% ของรายได้รวมจากการดำเนินงานปี 2551 ในขณะที่รายได้ค่าเช่าในโครงการอาคารสำนักงานและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์คิดเป็นประมาณ 10%

QH เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม 1 แห่งในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 และมีแผนจะเปิดอีก 1 โครงการในช่วงปลายปี 2552 ทั้งสองโครงการ ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 5,600 ล้านบาทอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2552 ถึงปี 2553

ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการทั้ง 2 แห่งในช่วงปี 2553-2554 เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว บริษัทมีประเภทของสินทรัพย์ที่แตกต่างออกไปเนื่องจาก 1 ใน 4 ของสินทรัพย์เป็นสินทรัพย์ให้เช่าและเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยสินทรัพย์ให้เช่านอกจากจะสร้างเสถียรภาพจากการมีรายได้ค่าเช่าที่สม่ำเสมอและเงินสดรับที่แน่นอนแล้ว ยังช่วยเสริมความคล่องตัวทางการเงินด้วยเนื่องจากบริษัทสามารถขายสินทรัพย์ให้แก่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้

นอกจากนี้ เงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 4 แห่งซึ่ง 3 แห่งเป็นหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอีก 1 แห่งอยู่ในแผนการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นจะช่วยให้บริษัทมีรายได้จากเงินปันผลในระยะสั้นและส่งเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทในระยะยาว

ทริสเรทติ้งกล่าวถึงผลการดำเนินงานของ QH ในช่วงปี 2551 จนถึง 3 เดือนแรกของปี 2552 ว่าค่อนข้างทรงตัว โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 4% เป็น 10,620 ล้านบาทในปี 2552 แต่ลดลงถึง 6% เป็น 2,212 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2552 แม้ว่าประโยชน์ด้านภาษีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนได้มากถึง 4% ของราคาที่อยู่อาศัยจากการลดภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอน แต่บริษัทก็มีกำไรเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

โดยกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มเป็น 21% ในปี 2551 และเป็น 19% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2552 จาก 18% ในปี 2550 สืบเนื่องจากการที่บริษัทลงทุนเป็นอย่างมากในอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในปี 2551 ทำให้ยอดเงินกู้คงเหลือของบริษัทเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไม่เพียงพอต่อการลงทุนจำนวนมากดังกล่าว บริษัทจึงเริ่มลดสินค้าคงเหลือโดยตั้งเป้าอัตราการหมุนเวียนของสินค้าจาก 3 เดือนให้เหลือเพียง 1 เดือน เงินกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 15,000 ล้านบาทระหว่างปลายปี 2551 ถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2552 จากระดับ 12,638 ล้านบาท ณ ปลายปี 2550

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 56%-57% มากนักในช่วงปลายปี 2551 จนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2552 สาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องจากมีเงินเพิ่มทุน 1,382 ล้านบาทจากการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งช่วยทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น

ทั้งนี้ สถานะสภาพคล่องของบริษัทได้รับแรงหนุนทั้งจากวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกอีกประมาณ 7,900 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2552 และจากความสามารถในการระดมทุนในตลาดทุน โดยคาดว่าระดับเงินกู้จะค่อยๆ ลดลงภายหลังจากการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมทั้ง 2 แห่งแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2553

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ภาวะของตลาดที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนอันเป็นผลมาจากความไม่มั่นคงของการเมืองในประเทศและวิกฤติการณ์ทางการเงินทั่วโลก แม้ว่ามาตรการด้านภาษีซึ่งอนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านสามารถนำเงินซื้อบ้านในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและจะหดตัวในปี 2552 ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารสภาพคล่องอย่างระมัดระวังและดำรงความยืดหยุ่นทางการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันทางการเงินต่างๆ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเพื่อที่จะดำรงสถานะอันดับเครดิตเอาไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ