นายณาศิส ประเสริฐสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้(2552)ว่า ทิศทางธุรกิจหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ประมาณ 21,000-23,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันในช่วงครึ่งแรกปีนี้ที่มีอยู่ 15,126 ล้านบาท ดังนั้น คาดว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์น่าจะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก
ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทหลักทรัพย์มองว่ายังไม่น่าจะดีนักในช่วงครึ่งปีหลัง และธุรกิจหลักทรัพย์ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างจะแกว่งตามภาวะตลาดโดยรวม
อย่างไรก็ดี ยังคงแนะนำลงทุนโดยเน้นบริษัทฯที่มีมาร์เก็ตแชร์ค่อนข้างสูง ซึ่งตัวที่แนะนำให้"เทรดดิ้ง"ตามภาวะตลาดฯได้ คือ หุ้น บล.บัวหลวง(BLS)ให้ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น และหุ้น บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)หรือ KEST ให้ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท/หุ้น
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้(2552)วอลุ่มของตลาดโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2551 ที่มี 1.6 หมื่นล้านบาท/วัน โดยในไตรมาส 1/52 วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท/วัน ส่วนไตรมาส 2/52 วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท/วัน
"วอลุ่มเทรดของตลาดฯได้มีการตีตื้นขึ้นมาในช่วง 2 เดือนหลังของไตรมาส 2/52(พ.ค.-มิ.ย.)โดยมีวอลุ่มเทรดเฉลี่ย 2.5 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งเป็นผลจากความคาดหวังเศรษฐกิจจะฟื้น ทำให้การซื้อขายคึกคัก"นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3/52 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับฐานได้ เนื่องจากตลาดฯได้รับรู้เศรษฐกิจจะฟื้นในช่วงไตรมาส 2/52 ไปแล้ว และมองว่านักลงทุนต่างชาติก็มีโอกาสที่จะขายทำกำไรออกมาเช่นกัน ส่วนไตรมาส 4/52 ขณะนี้ยังมองทิศทางของตลาดฯยังไม่ชัดเจน
สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ก็คงจะต้องมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดฯ หากภาวะตลาดฯดี ธุรกิจหลักทรัพย์ก็จะดีด้วย แต่ถ้าตลาดฯไม่ดี ธุรกิจหลักทรัพย์ก็มีโอกาสที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน
ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.ฟินันซ่า มองว่า กลุ่มหลักทรัพย์มีความเสี่ยงของกฏเกณฑ์การคิดค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งทางการกำลังพิจารณาการคิดค่ารายได้จากเดิม 0.25% คงที่เป็น การคิดค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันได้ในปี 2510 และ การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น(ตกลงค่าธรรมเนียมการซื้อขายได้อย่างเสรี)ในปี 2012
*ราคาหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ในช่วงครึ่งแรกปีนี้(2552)เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551
การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ในช่วงครึ่งแรกปีนี้(2552)เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551 ปรากฏว่า ราคาหุ้น บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS)มีการปรับตัวขึ้นสูงสุดในกลุ่มฯถึง 202.04% รองลงมาคือ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX)ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้น 87.88% และอันดับที่ 3 ได้แก่ หุ้น บล.บัวหลวง(BLS)ระดับราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาถึง 69.78%
แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูง บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การที่ระดับราคาหุ้น CGS ในสิ้นไตรมาส 2/52 ปรับตัวขึ้นสูงเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่าน(2551)เป็นเพราะบริษัทฯปรับปรุงธุรกิจหลักทรัพย์ให้ดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นมีการพลิกกลับขึ้นมา ประกอบกับ เมื่อปีที่แล้วหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจกันอย่างทั่วหน้า ซึ่งราคาหุ้น CGS ก็ได้ปรับตัวลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นด้วย
"เมื่อปีที่แล้วราคาหุ้นมันตกลงต่ำกว่าพื้นฐานมากเกินไป แต่ตอนนี้ราคาหุ้น CGS ได้พลิกกลับขึ้นไปแล้ว ซึ่งมันก็สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่ดีขึ้น"ผู้บริหารระดับสูง CGS กล่าว
ราคาหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ในช่วงครึ่งแรกปีนี้(2552)เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551
ชื่อหุ้น ราคาหุ้น(บาท/หุ้น) เปลี่ยนแปลง
(30 ธ.ค.2551) (30 มิ.ย.2552) (%)
CGS 0.49 1.48 202.04
GBX 0.33 0.62 87.88
BLS 6.95 11.80 69.78
ZMICO 1.30 2.18 67.69
KEST 7.95 12.90 62.26
KGI 0.74 1.17 58.11
ASP 1.15 1.71 48.70
PHATRA 11.80 16.80 42.37
SYRUS 2.40 3.10 29.17
CNS 15.40 18.60 20.78
TNITY 3.40 4.10 20.59
BSEC 1.19 1.43 20.17
FNS 3.08 3.30 7.14
UOBKH 2.98 2.98 -
SSEC 0.81 0.70 -13.58
US 2.62 2.04 -22.14