สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ.วินเทจ วิศวกรรม นับ 1 Filing เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2552 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป(IPO)จำนวน 15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ(MAI)โดยมีบล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ บมจ.วินเทจ วิศวกรรม จะเสนอขายประชาชน จำนวน 12,750,000 หุ้น เสนอขายกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวน 1,500,000 หุ้น เสนอขายผู้มีอุปการะคุณ จำนวน 750,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
บมจ.วินเทจ วิศวกรรม ประกอบธุรกิจ ผู้รับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร โดยระบบที่ติดตั้งได้แก่ ระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและระบบสื่อสาร, ระบบประปาและระบบสุขาภิบาล, ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ และให้บริการบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร ซึ่งบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ไปใช้เพื่อชำระหนี้ระยะสั้น และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 60,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 45,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 45,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 60,000,000 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคารและธุรกิจบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร ในปี 2551 บริษัทมีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 84.56 จากการดำเนินธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร และมีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 13.24 จากการดำเนินธุรกิจบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร
ในไตรมาส 1/2552 บริษัทยังมีโครงสร้างรายได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับในช่วงปี 2550-2552 คือมีรายได้หลักจากงานรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมที่ประมาณร้อยละ 89.26 ในขณะที่รายได้จากการบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคารนั้นอยู่ที่ร้อยละ 9.63
ในปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 1.73 ลดลงจากปี 2550 ที่กำไรสุทธิจำนวน 17.30 ล้านบาทคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 4.99 ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญเป็นสำคัญ ประกอบกับการที่บริษัทมีรายได้ลดลงในปี 2551 ทำให้ปริมาณกำไรลดลง อย่างไรก็ตามสำหรับในไตรมาส 1/2552 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 4.09 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 6.25
บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในอัตราไม่น้อยกว่าประมาณร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้คณะกรรมการของบริษัทมีอำนาจในการพิจารณายกเว้นไม่ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว หรือเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวได้เป็นครั้งคราว โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่การดำเนินการดังกล่าวจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท