โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย บล.ธนชาต "ซื้อ" 42.00 บล.คันทรี่กรุ๊ป "ซื้อ" 36.00 บล.ซิกโก้ "ซื้อ" 35.00 บล.เกียรตินาคิน "ซื้อ" 35.00
นายมงคล พ่วงเภตรา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่า จุดเด่นของ GLOW คือ อัตราการเติบโตของบริษัท เมื่อเทียบกัน 3 บริษัทระหว่าง GLOW, RATCH และ EGCO แล้ว GLOW จะมี Growth มากที่สุด เพราะ RATCH จากนี้ไปแทบไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่ ส่วน EGCO จะมีโรงไฟฟ้าน้ำเทินก็ช่วงปลายปีนี้ แต่ก็มีส่วนถือหุ้นน้อยมาก ขณะที่ GLOW จากนี้ไปประมาณ 2-3 ปีข้างหน้ากำลังผลิตจะเพิ่มขึ้นมาประมาณ 50% ของกำลังผลิตปัจจุบันที่ 1,900 เมกะวัตต์ ซึ่งหมายความว่ารายได้และกำไรในอนาคตจะเติบโตกว่านี้มาก
"เราคาดว่าตั้งแต่ปี 52-56 จะบวกตลอด รายได้จะเติบโตเฉลี่ย 12.7% กำไรเติบโตเฉลี่ย 9% แต่กำไรจะโตก้าวกระโดดหลังมีกำลังผลิตใหม่เข้ามา"นายมงคล กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับ RATCH และ EGCO แล้ว GLOW เป็นตัวเดียวที่ขายไฟฟ้าโดยไม่มีสัญญา IPP ขณะที่อีก 2 บริษัทมีสัญญาขายไฟฟ้า IPP เกือบ 100% หมายความว่า Commit รายได้และราคาตามสัญญา ซึ่ง EGCO อยู่ในช่วงขาลง และ RATCH อยู่ในช่วงกำลังจะลง
ส่วน GLOW แม้จะมีโรงไฟฟ้า IPP บางส่วน แต่ก็มีโรงไฟฟ้า SPP และมีส่วนที่ขายแบบไม่มีสัญญาคือขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม ความแตกต่างตรงนี้มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย โดยจุดเด่น คือ ถ้าเศรษฐกิจดี GLOW จะขายไฟฟ้าได้ดีกว่า แต่ถ้าเศรษฐกิจลง GLOW จะได้รับผลกระทบมากกว่าอีก 2 บริษัท
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/52 น่าจะดีกว่าไตรมาส 1/52 เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่เคยชะลอการผลิตเริ่มกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งในไตรมาส 3/52 และไตรมาส 4/52 น่าจะดีขึ้นอีก โดยเฉลี่ยปี 52 กำไรอาจจะ Drop เล็กน้อยมาอยู่ที่ 3,495 ล้านบาท จาก 3,539 ล้านบาทในปี 51 แต่อนาคตกำไรจะเติบโตดี นอกจากนี้ บริษัทยังมีความน่าเชื่อถือเรื่องการจ่ายปันผลก็สม่ำเสมอ โดย CGS คาดว่าปี 52 น่าจะจ่ายปันผลได้ในอัตรา 1.70-1.80 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงไฟฟ้ามีความเสี่ยงเรื่องการสร้างมลภาวะ ซึ่งหาก Location ไม่เหมาะสม จะมีปัญหาต่อธุรกิจค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทต้องดูแลแก้ไขและป้องกันให้ดี
"โดยสรุปเราแนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย (Fair Value) 36.00 บาท/หุ้น Upside Gain 76% มาจากเรื่องของ Growth เป็นหลัก"นายมงคล กล่าว
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า GLOW จะมีอัตราการเติบโตใน 3-5 ปีข้างหน้าค่อนข้างชัดเจน ได้แก่ โรงไฟฟ้าห้วยเฮาะ กำลังผลิต 152 เมกะวัตต์ เริ่มไตรมาส 3/52, ปี 54 มีโครงการ SPP เพิ่มอีก 1 โครงการ กำลังผลิต 382 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน 660 เมกะวัตต์ในนาม GHECO-One
ขณะที่ EGCO แม้จะมีโรงไฟฟ้าน้ำเทิน แต่เป็นเข้ามาชดเชยรายได้ของโรงไฟฟ้าหลักที่ลดลงมากกว่า เพราะโรงไฟฟ้าขนอมและระยองเข้าสู่ช่วงปลายของสัญญา ซึ่งจะช่วยไม่ให้ผลประกอบการ Drop ลงไปมาก
ด้านผลประกอบการของ GLOW ในไตรมาส 2/52 ดีขึ้นจากกำลังผลิตในภาคอุตสาหกรรมกลับมาเป็นปกติ ภาพรวมปีนี้ทั้งปีน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว โดยคาดว่ากำไรปี 52 น่าจะอยู่ที่ 3,780 พันล้านบาท จาก 3,539 พันล้านบาท ส่วนปี 53 เราคาดว่าว่ากำไรจะเพิ่มเป็น 4,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เทียบจากฐานกำลังผลิตเดิมและกำลังผลิตใหม่จากห้วยเฮาะ
"เรามองว่า GLOW น่าจะเติบโตในอนาคตค่อนข้างชัด ความจริงกลุ่มนี้ไม่น่าห่วงเป็นกลุ่มที่กระแสเงินสดค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งกลุ่ม เพียงแต่การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในเรื่องการแข่งขัน นอกจากนี้เราเชื่อว่า GLOW น่าจะจ่ายปันผลปี 52 ในอัตรา 1.82 บาท/หุ้น จาก 1.74 บาท/หุ้น"นายเบญจพล กล่าว
ด้าน บล.ธนชาต ให้มุมมองต่อหุ้น GLOW ผ่านบทวิเคราะห์ ว่า เราคาดว่ากำไรของ GLOW น่าจะเติบโตราว 32% ต่อปี ในช่วงปี 2009-12 เทียบกับกำไรของ EGCO ที่คาดว่าจะหดตัวลง 6% ต่อปี และของ RATCH ที่คาดว่าจะลดลง 4% เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ GLOW ขึ้นมาอยู่ที่ 42 บาท/หุ้นจาก 34 บาท/หุ้น
ขณะที่ EBITDA มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ของ GLOW ให้ EBITDA ในระดับทรงตัวที่ 8 พันล้านบาทต่อปีจนถึงปี 2016 ซึ่งต่างจากคู่แข่งรายอื่นที่ค่าไฟฟ้าแตะระดับสูงสุด หรือได้เข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว ด้วยโครงการใหม่ 3 โครงการ น่าจะทำให้ EBITDA ของ GLOW เติบโตราว 14%, 19%, 23% ในปี 2009-11 และเพิ่มขึ้นอย่างมากราว 66% ในปี 2012 เราปรับเพิ่มเงินปันผลต่อหุ้นของบริษัทฯ ขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 1.50 บาท/หุ้น เนื่องจากเราคาดว่าโครงการใหม่ทั้งหมดของบริษัทฯ จะเริ่มดำเนินงานได้ตามกำหนดการที่วางไว้
และจากการที่คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีอำนาจการออกใบอนุญาตให้กับโรงงานที่ประกอบกิจการพลังงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยยุติความกังวลว่าโครงการของ GLOW อาจจะถูกระงับหรือไม่แต่ยังทำให้เราเชื่อมั่นมากขึ้นว่า การขยายโครงการของบริษัทฯจะไม่เผชิญกับปัญหาในเรื่องใบอนุญาตการดำเนินงานมากขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่า GLOW จะยังคงต้องรับมือกับประเด็นในเรื่องกรอบการควบคุมมลภาวะใหม่ แต่อย่างไรก็ตามตลาดได้คาดไว้แล้วว่าจะต้องมีการควบคุมมลภาวะที่ปล่อยออกมามากขึ้น