ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ KBANK ที่ AA(tha)/F1+(tha)/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 3, 2009 18:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) แก่หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันของธนาคารกสิกรไทย (KBANK )จำนวนรวมไม่เกิน 600 ล้านบาท ที่ระดับ ‘AA(tha)’/‘F1+(tha)’/Stable โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวมีอายุ 10 ปี ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตในประเทศของธนาคารอยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตของ KBANK สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในด้านคุณภาพของสินทรัพย์และฐานะเงินกองทุนของธนาคาร รวมทั้งเครือข่ายการดำเนินงานและบริการภายในประเทศที่แข็งแกร่งในกลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภาคธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มลูกค้าบุคคลของธนาคาร ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในปี 2552 ของ KBANK คาดว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงอย่างมากในปี 2552 อัตราส่วนผลกำไรของธนาคารที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งของธนาคาร คาดว่าจะสามารถช่วยรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

ผลการดำเนินงานของ KBANK สำหรับปี 2551 ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งโดยธนาคารมีกำไรสุทธิ 15.3 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ 15 พันล้านบาท ในปี 2550 แม้ว่าในปี 2551 นั้นค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารได้เพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับปี 2550 ในขณะเดียวกันอัตรากำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารลดลงเป็น 4.1%ในปี 2551 จาก 4.2% ในปี 2550 เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง

อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาสที่ 1 ปี 2552 ได้ปรับตัวลดลง โดยธนาคารมีกำไรสุทธิ 3.8 พันล้านบาท ลดลง 14.4% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ทั้งนี้กำไรสุทธิที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่มิใช้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูงขึ้นและการขยายสาขาของธนาคาร รวมทั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง

ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารในไตรมาสที่ 1 ปี 2552 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากเงินฝากของธนาคารที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 อัตรากำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ ของ KBANK ลดลงเป็น 3.7% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2552 โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยในการระดมเงินทุนของธนาคารที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่ลดลง และสินเชื่อของธนาคารที่หดตัวลง 3%

อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยธนาคารมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวมและอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสัดส่วนผู้ถือหุ้นที่ 1.2% และ 13.3% ณ สิ้น มีนาคม 2552 ตามลำดับ

ตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ KBANK โดยธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 35 พันล้านบาท หรือ 4.0% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้น มีนาคม 2552 จาก 33.9 พันล้านบาท หรือ 3.7% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2551 ระดับการกันสำรองหนี้สูญของธนาคารที่ 30.6 พันล้านบาท ณ สิ้นมีนาคม 2552 หรือเท่ากับ 87.4% ของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั้น อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทยรายอื่น

การระดมเงินทุนและสภาพคล่องของ KBANK ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายสาขาของธนาคารที่มีฐานเงินฝากที่แข็งแกร่ง ณ สิ้น มีนาคม 2552 KBANK มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมของอยู่ที่ 10.2% และ 15.6% ตามลำดับ

KBANK ก่อตั้งในปี 2488 โดยตระกูลล่ำซำ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 13% บริษัทลูกที่สำคัญของธนาคารประกอบธุรกิจบริหารกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเช่าซื้อ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ