ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) โดยมีหุ้นกลุ่มพลังงานปิดร่วงลงฉุดรั้งดัชนีขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำลง ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าภาวะอุปสงค์สินค้าประเภทวัตถุดิบยังคงซบเซา แต่ถึงกระนั้นตลาดยังได้รับปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการรายงานข้อมูลภาคบริการที่สดใส
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 44.13 จุด หรือ 0.5% แตะที่ 8,324.87 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 2.30 จุด หรือ 0.3% แตะที่ 898.72 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 9.12 จุด หรือ 0.5% แตะที่ 1,787.40 จุด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ได้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ออกมาอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็เชื่อว่า เศรษฐกิจจะยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะกระตุ้นภาวะอุปสงค์ให้กลับมาคึกคักอย่างที่คาดการณ์ไว้ได้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเริ่มมีความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ตลาดหุ้นทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนมี.ค. เนื่องจากเกรงว่าการพุ่งขึ้นของตลาดอาจทำให้นักลงทุนมีมุมมองทางเศรษฐกิจในแง่บวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเร็วเกินไป
ซูบอดห์ คูมาร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Subodh Kumar & Associates ในโตรอนโตกล่าวว่า "ตลาดเริ่มเคลื่อนไหวตามปัจจัยที่แท้จริงมากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาทิศทางและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้"
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดปรับตัวสูงขึ้นได้จากรายงานข้อมูลภาคธุรกิจบริการที่ดีเกินคาด โดยสถาบันจัดการอุปทานเปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนม.ย.ขยายตัวแตะที่ 47 จุด เพิ่มขึ้นจากระดับ 44 จุดในเดือนพ.ค. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจบริการหดตัวน้อยที่สุดในรอบ 9 เดือน
ทั้งนี้ นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการภาคเอกชนประจำไตรมาสสองที่จะเริ่มทะยอยเปิดเผยกันในเร็วๆนี้ โดยอัลโค อิงค์จะเริ่มรายงานผลประกอบการในวันพุธนี้
หุ้นกลุ่มบริษัทพลังงานส่วนใหญ่ปิดเคลื่อนไหวในแดนลบ นำโดยหุ้นเอ็กซ์ซอน โมบิล คอร์ปตกลง 0.6% หุ้นออคซิเดนทัล ปิโตรเลียมลดลง 2.5% ส่วนหุ้นอัลโคร่วงลง 6.1%
นอกจากนี้ ในส่วนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ปิดร่วงลงเช่นกัน อาทิ หุ้นโอราเคิล คอร์ปร่วงลง 37 เซนต์ หุ้นแอปเปิล อิงค์ทรุดลงไป 1.41 ดอลลาร์/หุ้น