บลจ.ไอเอ็นจี ออกกองทุน"เกรทเทอร์ไชน่า"พุ่งเป้าตลาดจีน-ไต้หวัน-ฮ่องกง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 8, 2009 12:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.ไอเอ็นจี เปิดตัว กองทุนเปิด"ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า—ING Thai Greater China Fund"ซึ่งลงทุนใน 3 ตลาดหลัก จีน ไต้หวัน และฮ่องกง เนื่องจากประเมินแล้วเห็นว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีโอกาสเติบโตแข็งแกร่งจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน โดยกองทุนฯ จะเปิดจองระหว่าง 8-17 ก.ค.นี้ จองขั้นต่ำ 2,000 บาท

การกระจายการลงทุนไปในกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า จะทำให้นักลงทุนสร้างทางเลือกในการลงทุนกับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพและการเติบโต เพราะตลาดหุ้นทั้ง 3 ประเทศนับตั้งแต่ต้นปีมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง อีกทั้งนักลงทุนยังสามารถกระจายความเสี่ยงในกรณีที่มีการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่ง นักลงทุนก็ยังมีอีก 2 ตลาดที่ยังสามารถสร้างกำไรได้

จากเหตุผลดังกล่าวเชื่อว่าการลงทุนในกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศจีนเพียงประเทศเดียว ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีของทั้ง 3 ประเทศยังมีโอกาสเติบโตจนถึงปลายปี หลังจีนมีโอกาสเติบโตมากกว่า 10% ไต้หวันมีโอกาสเติบโตมากกว่า 20% ฮ่องกงเติบโตประมาณ 15%

“เราเชื่อมั่นว่ากลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า ยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วของเศรษฐกิจ โดยจีนนับเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ขณะที่ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าขายของเอเชียและเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างจีนกับตลาดโลก ส่วนไต้หวันก็เป็นผู้นำตลาดสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์จากการใช้จีนเป็นฐานผลิตที่สำคัญ เราเชื่อมั่นว่าด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บลจ.ไอเอ็นจี ประเมินว่ายอดการลงทุนจะเพิ่มขึ้นมหาศาล เช่นเดียวกับการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะจากตัวเลขปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2009 พบว่า ขยับสูงถึง 26.17 ล้านล้านบาท ด้านโครงการวางระบบสาธารณูปโภคของจีนในการขยายระบบทางหลวงอีก 40 ล้านกิโลเมตรในอีก 10 ปีข้างหน้า และนโยบายการพัฒนาและสร้างเมืองใหม่ (Urbanization) ของจีนที่จะทำให้ในอีก 15 ปีข้างหน้า ประชากรจีนจากชนบทจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองอีกกว่า 220 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่กลุ่มการเงิน-ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และการบริการจะเติบโตเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง" นายจุมพลกล่าว

นายจุมพล กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 20% จากสิ้นปี 51 ที่ 1.8 แสนล้านบาท โดยอีก 2 เดือนข้างหน้า บริษัทมีแผนจะออกกองทุนอีก 1 กอง เป็นการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ทั้ง Hard Commodity เช่น แร่ทองคำ เงิน และ Soft Commodity เช่น สินค้าเกษตร

สำหรับอุตสาหกรรมกองทุนรวมในครึ่งปีหลัง เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มของพันธบัตร ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของอุตสาหกรรมกองทุนรวมอยู่แล้ว แต่ในส่วนของตลาดหุ้น เชื่อว่าในครึ่งปีหลังยังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นแต่น้อยกว่าครึ่งปีแรก โดยดัชนีน่าจะอยู่ในกรอบระหว่าง 550-700 จุด ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นอสังหาฯ แบงก์ พลังงาน และการที่รัฐบาลออกพันธบัตรไทยเข้มแข็ง 3 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ