บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS)คาดว่าบริษัทจะสามารถสรุปการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจหลักทรัพย์ในสิงคโปร์ภายในอีก 2 เดือน จากนั้นจะพยายามสรุปการเจรจาเข้าถือหุ้นในธุรกิจหลักทรัพย์ในฮ่องกงที่ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกันกับบางรายแล้ว พร้อมทั้งตั้งเป้าเพิ่มบัญชีลูกค้า 3 หมื่นบัญชีใน 6-8 เดือน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4 หมื่นบัญชี และยังแสดงความมั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 52 จะสามารถพลิกมามีกำไรได้ตามเป้าที่วางไว้ หลังจากแนวโน้มครึ่งปีหลังธุรกิจฟื้นตัว
นายบี เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ CGS กล่าวว่า ภายใน 2 เดือนนี้จะสามารถเข้าซื้อกิจการโบรกเกอร์ในประเทศสิงคโปร์ ขณะที่การซื้อกิจการธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศฮ่องกง อยู่ระหว่างการคัดเลือก 2 ราย โดยอยู่ระหว่างพิจารณาราคาที่เหมาะสม ซึ่งหากราคาเป็นที่พอใจก็อาจจะเข้าซื้อทั้งสองแห่ง แต่คาดว่าดีลฮ่องกงจะสามารถจบได้ภายในปีนี้แน่นอน
สำหรับการซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศทั้ง 3 แห่งจะใช้เม็ดเงินประมาณ 100-300 ล้านบาท/แห่ง ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากสถาบันมากขึ้น โดยปัจจุบันกว่า 85% มาจากลูกค้ารายย่อย ก็จะลดลงเหลือ 70% ภายในสิ้นปีนี้
นายบี กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำให้ผลประกอบการพลิกเป็นมีกำไร จากที่ขาดทุนต่อเนื่องมในช่วง 2 ปีก่อน โดยตั้งแต่ไตรมาส 2/52 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของวอลุ่มการซื้อขายและปริมาณลูกค้า ประกอบกับการได้นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ มาร่วมงานเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร น่าจะส่งผลให้จำนวนลูกค้ามาเปิดบัญชีเพิ่มอีก 3 หมื่นบัญชี เป็น 7 หมื่นบัญชีภายใน 6-8 เดือน จากปัจจุบันที่ 4 หมื่นบัญชี
ทั้งนี้ การย้ายจากบล.บีฟิท (BSEC)ของนายประสิทธิ์มาร่วมงานกับ CGS ยังจะมีทีมเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เก็ตติ้ง)ตามมาร่วมงานกับ CGS อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนแบ่งกการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)รวมของบริษํทในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 7% จาก 3% ในปัจจุบัน
ส่วนรายได้จากธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาหุ้น IPO ที่มีอยู่ในมือ 6 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด mai 5 รายและตลาด SET 1 ราย ซึ่งหากบรรยากาศยังปรับตัวในทิศทางที่ดี ก็เชื่อว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ภายในปีนี้ โดยยังไม่รวม บมจ. แอปโซลูท อิมแพ็ค (AIM) ที่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ไปแล้วก่อนหน้านี้
"ผมเชื่อว่าหลังจากนี้จะเห็น บล.คันทรี่ฯ มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น มาร์เก็ตแชร์ติด 1 ใน 3 เพราะจากการที่เราทยอยการเพิ่มจำนวนลูกค้าและธุรกรรม และยังได้คุณประสิทธิ์และทีมงานเข้ามาร่วมงานน่าจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น"นายบี กล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS กล่าวว่า การมาร่วมงานกับ CGS เป็นการมาที่ถูกต้อง ไม่ได้มีปัญหาหรือความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นกับ BSEC โดยมีทีมงานมาร์เก็ตติ้งมาด้วย 50-60 คน รวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนและพนักงาน Back Office อีกประมาณ 10 คน รวมบัญชีลูกค้าที่ตามมาประมาณ 6 พันบัญชี ซึ่งจะทำให้ตรงเป้าหมายของ CGS ที่ต้องการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการให้คำแนะนำการลงทุนกับลูกค้ารายย่อย ที่ปัจจุบันเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท
"ผมออกมาจากที่เดิม ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็บอกลาทางนั้นเป็นกิจจะลักษณะ และมีหนังสือยินยอมการย้ายงานด้วย ส่วนมาร์เก็ตติ้งที่ย้ายตามมา ก็มาด้วยความสมัครใจ ส่วนอนาคตจะมีตามมาอีกเปล่าไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ที่คันทรี่ฯ ก็เปิดกว้างสำหรับมาร์เก็ตติ้งจากที่อื่นด้วยเหมือนกัน เพราะมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมาร์เก็ตติ้งอีก 150 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 300 คน"นายประสิทธิ์ กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ก็จะเข้ามาดูเรื่องพอร์ตลงทุนที่ปัจจุบันมีเม็ดเงินจากพอร์ตลงทุน 1.5 พันล้านบาท โดยจะมีการปรับวิธีการลงทุน มาเน้นการลงทุนระยะสั้นในหุ้นจากเดิมที่เน้นลงทุนระยะกลางและระยะยาวหุ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในหุ้น SET100