PERM มั่นใจทำยอดขายครึ่งปีหลังกว่า 1 พันลบ.ออร์เดอร์เพิ่ม-ราคาเหล็กดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 15, 2009 10:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชูเกียรติ ยงวงศ์ไพบูลย์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เพิ่มสินสตีลเวิร์ค(PERM)ผู้ผลิตเหล็กรีดเย็นและเหล็กชุบเคลือบ-โครงหลังคา รวมทั้งผู้จัดจำหน่ายเหล็กรีดร้อน เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/52 จะออกมาดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/52 ที่ขาดทุน 72 ล้านบาทจากปัญหาสต็อกเก่าราคาสูง ซึ่งปัญหาดังกล่าวหมดไปในช่วงไตรมาส 2/52 เนื่องจากสต็อกจของบริษัทมีอยู่ที่ 90 วัน หรือประมาณ 11,000-12,000 ตัน

นอกจากนั้น ช่วงนี้ราคาขายขยับขึ้น น่าจะเป็นผลดีต่อสต็อกที่มีต้นทุนต่ำ ขณะที่แนวโน้มทิศทางราคาเหล็กในครึ่งปีหลังคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก แต่ก็ยังคงต้องดูความชัดเจนก่อนจะสามารถประเมินภาพทั้งปี 52 ได้ว่าจะพลิกเป็นกำไรได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของรายได้นั้น บริษัทยังคงประมาณการยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังตามเดิมที่ 1,000 กว่าล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ใกล้เคียงกับที่ทำได้ในครึ่งปีแรก หลังจากเห็นยอดขายในช่วงไตรมาส 1-2/52 ก็ไม่ได้ต่ำกว่าปีที่แล้ว ดังนั้น ทั้งปีก็ยังน่าจะทำยอดขายไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท

"ครึ่งปีหลังยอดขายคงไม่ขยับจากครึ่งแรก..เอารักษาเท่าเดิมก่อน รวมทั้งปียอดขายประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท"นายชูเกียรติ กล่าว

อนึ่ง ยอดขายของ PERM ในปี 51 อยู่ที่ 2,188 ล้านบาท ขาดทุน 11 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/52 มียอดขาย 362 ล้านบาท ขาดทุน 72 ล้านบาท

นายชูเกียรติ กล่าวว่า จากนี้ไปความต้องการเหล็กรีดร้อนรีดเย็นในประเทศน่าจะดีขึ้น เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศก็อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในด้านของการลงทุน ขณะที่ภาคเอกชนเองก็พยายามเร่งหาออร์เดอร์กันเพิ่มขึ้น

บริษัทคาดว่ายอดขายเหล็กรีดร้อนในไตรมาส 3/52 น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากไตรมาส 2/52 มียอดขายเกือบ 2 หมื่นตัน เพราะเริ่มมีออร์เดอร์เข้ามาแล้ว ส่วนโครงหลังคาเหล็กชุบ-เคลือบน่าจะยังทรงตัว โดยปกติบริษัทมีปริมาณขายเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นเดือนละประมาณ 1 หมื่นตัน หรือปีละประมาณ 1.5 แสนตัน

นายชูเกียรติ กล่าวว่า ทิศทางราคาเหล็กครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาเมื่อเดือนที่แล้วแตกต่างกับ 2 เดือนก่อนค่อนข้างมาก หลังจากเห็นสัญญาณความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ผู้ผลิตเหล็กยังไม่ได้ตั้งรับเรื่องนี้ จึงคงกำลังการผลิตไว้เท่าเดิม ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนบางช่วง แสดงให้เห็นว่าดีมานด์เพิ่มขึ้นแล้ว แต่ซัพพลายยังคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52

"PERM การขายน่าจะดีขึ้นเนื่องจากตอนนี้เลยจุดต่ำสุดมาแล้วไม่ว่าจะเรื่องอุตฯก่อสร้าง รถยนต์ และไฟฟ้า เลยจุดต่ำสุดมาแล้วทั้งนี้ตอนนี้ออร์เดอร์ก็เริ่มที่จะมากขึ้น"นายชูเกียรติ กล่าว

สำหรับการยืดอายุมาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด(AD)เหล็กรีดร้อนออกไปอีก 5 ปี ส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะที่เป็นผู้แทนจำหน่ายเหล็กรีดร้อนที่ซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ ส่วนเหล็กรีดเย็นที่นำเข้าวัตถุดิบเข้ามาประมาณกว่า 70% ก็ไม่ได้รับผลกระทบในแง่ลบ เพราะเหล็กรีดเย็นไม่มีกำแพงภาษี AD

"การนำเข้าทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าเหล็กที่มาจากคาซักสถานหรือมาจากรัสเซียราคาเขาถูกกว่าในประเทศไทย เนื่องจากประเทศพวกนี้มีสินแร่เหล็กของเขาเอง แต่ของเราต้องไปพึ่งสินแร่เหล็กและวัตถุดิบทั้งหมดจากต่างประเทศ ราคาแน่นอนเราสู้เค้าไม่ได้ถ้ามีการนำเข้าอืสระก็คิดว่าอุตฯเหล็กในประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างมาก"นายชูเกียรติ กล่าว

ส่วนการลดภาษีนำเข้าเหล็กรีดร้อนจากญี่ปุ่นให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ภายใต้ข้อตกลง JTEPA ส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กใน ประเภท tier 1 แต่ที่ PERM ขายอยู่ในประเภท tier 2 และ tier 3 ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์จะซื้อจากภายในประเทศอยู่แล้ว ก็คงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ