บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เผยปี 52 บริษัทมีผลตอบแทนจาการรลงทุนในต่างประเทศขยายตัวดีขึ้นกว่าปี 51 และเป็นปัจจัยหลักให้กำไรในปี 52 สูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างโดดเด่น โดยล่าสุดบริษัทได้รุกขยายฐานธุรกิจในไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศที่ 9 หลังเข้าลงทุนในรัสเซียและอินเดีย
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า บริษัทได้ขยายฐานการผลิตในประเทศต่างๆ เช่น ตุรกี อินเดีย มาเลเซีย ลาว ฟิลิปปินส์ อังกฤษ จีน และรัสเซียที่โรงงานอาหารสัตว์เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และในวันนี้คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้เข้าลงทุนใน Charoen Pokphand Enterprise (Taiwan) Co., Ltd. (CPE) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารในประเทศไต้หวัน
ทั้งนี้ คณะกรรมการ CPF ให้ CPF Investment Limited (CPFI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPF ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 จะทำการเข้าซื้อหุ้นจำนวน 75,194,164 หุ้น หรือร้อยละ 32.41 ของทุนชำระแล้วของ CPE จากผู้ถือหุ้น 5 รายภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 52 ในมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกินประมาณ 826 ล้านบาท
CPE เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไต้หวัน และเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ แปรรูปเนื้อสัตว์ และผลิตอาหารสำเร็จรูป มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นลำดับต้นๆ ในประเทศไต้หวัน การเข้าลงทุนในไต้หวันนี้เป็นการขยายฐานการดำเนินธุรกิจและการเพิ่มแหล่งรายได้ของซีพีเอฟในต่างประเทศ นอกจากนั้น ซีพีเอฟยังสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่มีไปใช้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ CPE โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านธุรกิจอาหารแปรรูป และการพัฒนาธุรกิจสุกร
นายอดิเรก กล่าวว่า บริษัทยังได้ปรับโมเดลในการดำเนินธุรกิจโดยพยายามรุกในธุรกิจอาหารพร้อมรับประทาน (Food) ซึ่ง ณ วันนี้ CPF ส่งออกสินค้าอาหารภายใต้แบรนด์ CP ไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลกแล้ว ซี่งสินค้าก็เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในหลายประเทศ โดยมีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดด คาดการณ์การเติบโตของสินค้ากลุ่มนี้อีก 100% จากปี 51 ที่ผ่านมา
"ธุรกิจอาหารต้องพยายามลดต้นทุนและกระจายความเสี่ยง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากวันนี้รูปแบบในการทำธุรกิจมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้หลายอย่าง การพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจจึงมีความสำคัญยิ่ง"นายอดิเรก กล่าว