นายสุวิทย์ มโนมัยยานนท์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและสัญญา บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น(TTCL) คาดว่ากำไรสุทธิในปี 52 นี้จะดีกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 314 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เข้าไปรับงานในต่างประเทศทั้งโรงปุ๋ยของโมรอคโก จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 450 ล้านเหรียญ หรือ 1.5 หมื่นล้านบาท งานดังกล่าวจะเป็นงานรับงานครบวงจร รวมทั้งยังมีงานในการเข้าไปรับบริหารงานปิโตรเคมีในแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งบริษัทจะเข้าไปบริหารงาน 5% ของมูลค่าโครงการ 60 ล้านยูโร หรือ 3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 งานจะมีมาร์จิ้นดี เฉลี่ยกว่า 4% ถือว่าสูงกว่ามาร์จิ้นงานในประเทศที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3-3.5% ทั้ง 2 งานคาดว่าจะรู้ผลและทยอยรับรู้บ้างในไตรมาส 4 นี้
"การที่เราได้งานในต่างประเทศ ถือว่าเป็นงานที่เพิ่มขึ้นจากปกติ เราก็ยังคงเน้นแบบครบวงจรอยู่เหมือนเดิม ถ้าให้ดูอุตสาหกรรมปิโตรเคมีตอนนี้เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างก็เริ่มลดลง จึงน่าจะเห็นการกลับมาของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในการลงทุนโรงงานและจะกลับไปสู่วัฏจักรของอุตสาหกรรมได้" นายสุวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ จากการที่ได้รับงานต่างประเทศทั้ง 2 งานและการที่บริษัทอยู่ระหว่างการรอทีโออาร์โครงการของ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) ที่มีมูลค่า 80-100 ล้านเหรียญ รวมถึงกลุ่มปุนซิเมนต์ที่จะเข้าไปลงทุนในเวียดนาม จากโครงการทั้งหมดจะทำให้บริษัทมีงานที่จะเข้าเสนอรวม 3.2 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้และปีหน้า จากปัจจุบันที่มีงานในมือ (Backlog) เพิ่มมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ล่าสุดชนะการประมูลงานสร้างโรงงานเคมีผลิตสารไฮโดรเจนเพอร์อ๊อกไซด์จากบริษัท MTP HP JV(Thailand) มูลค่างานกว่า 1,075 ล้านบาท Backlog ดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในปีนี้ 40-50% ที่เหลือไปรับรู้ปีหน้า
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า จากผลประกอบการที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 และไตรมาส 1 ที่ผ่านมาที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 51 และการที่มีกำไรสุทธิสะสมกว่า 330 ล้านบาท จึงทำให้เชื่อว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท และด้วยแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในไตรมาส 3 และ 4 และสัญญาณการกลับมาของธุรกิจที่ดีขึ้น น่าจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลทั้งปีมากกว่า 8%
สำหรับราคาหุ้นหากลดลงต่ำกว่าราคา IPO ที่ 4.25 บาท ก็พร้อมจะเข้าไปซื้อลงทุนทั้งส่วนตัว รวมทั้งการที่คณะกรรมการบริษัทมีมติตั้งสำรอง 100 ล้านบาทในการซื้อหุ้นหากราคาลดลง จากความผันผวนของตลาดหุ้น ขณะที่พื้นฐานของบริษัทยังมีความแข็งแกร่ง