นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) กล่าวว่า ธนาคารคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปี 52 ไว้ที่ระดับ 6% หรือคิดเป็นเม็ดเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท แม้ว่าครึ่งแรกของปีสินเชื่อจะเติบโตเพียง 0.3% หรืออยู่ที่ 1 พันล้านบาทเท่านั้น
ธนาคารมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐประกาศใช้จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการให้กลับมาขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อโครงการที่เห็นสัญญาณการขยายตัวจากการกลับเข้ามาของกำลังซื้อบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาท และการเติบโตอีกส่วนหนึ่งจะมาจากการฟื้นตัวของสินเชื่อเอสเอ็มอี จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ
นอกจากนั้น ธนาคารยังมีเป้าหมายที่จะลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ลงมาเหลือ 5-6% ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 8.04% ด้วยการเสนอขาย NPL มูลค่าประมาณ 7 พันล้านบาทถึง 1.2 หมื่นล้านบาท
"ครึ่งปีหลังถือเป็นครึ่งปีที่ท้าทายต่อความสามารถที่จะทำให้ผลประกอบการมีอัตราเติบโตต่อเนื่องทั้งของธนาคารเองและธนาคารอื่น จากทั้งเรื่องของปัญหาการเมือง และมาตรการแก้ไขการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 หากปล่อยให้เรื้อรังก็อาจจะเกิดผลกระทบต่อจีดีพีและภาพรวมของประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องด้วย"นายชัยวัฒน์ กล่าว
SCIB รายงานผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 1,870 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณ 287 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็น 13.31%
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มีการปรับรูปแบบในการดำเนินธุรกิจ ทั้งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน(บลจ.) ขณะที่ธนาคารเองได้มีการเพิ่มกองทุนขั้นที่ 2 ทำให้ธนาคารมีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพที่ดีขึ้น จึงทำให้ครึ่งปีหลังยังมีความสามารถของการเติบโตในแง่ของกำไรต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทในเครือทั้ง บล.และ บลจ.ยังมีขนาดเล็ก ซึ่งกรณีของ บล.นั้นหลังจากที่ได้ผู้บริหารใหม่ก็อยากเห็นส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ตแชร์)เพิ่มขึ้นภายใต้การแข่งขันรุนแรงและการเตรียมพร้อมรับการเปิดเสรีที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจ บล.หากใครมีข้อเสนอที่ดีในการเข้ามาเป็นพันธมิตร ธนาคารก็พร้อมจะเปิดรับ
ส่วนการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะขายหุ้นราว 47% ที่ถืออยู่ใน SCIB ให้กับพันธมิตรใหม่นั้น ทุกอย่างขึ้นกับการพิจารณาของทางกองทุนฟื้นฟูฯ แต่โดยส่วนตัวคิดว่าคงอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องราคาเปรียบเทียบ ทั้งราคาที่ซื้อมาและราคาตลาดเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม แต่เชื่อวาน่าจะสรุปได้ภายในปีนี้