ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) คงเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 52 ไว้ในระดับ 6% แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อจะยังไม่เติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็คาดว่าครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะแนวโน้มการขยายตัวของลูกค้ารายย่อยจากการเข้าซื้อกิจการในกลุ่มจีอีในประเทศไทยเพิ่มเติม รวมถึงพอร์ตสินเชื่ออื่น ๆ ซึ่งธนาคารคาดว่าจะทำให้สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 42% จากเดิมอยู่ในระดับ 35%
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ BAY กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศยังไม่ดี การขยายสินเชื่อในปีนี้คงจะลำบาก ขณะที่การเข้าซื้อกิจการอื่นเข้ามาจะเป็นข้อดีที่ทำให้ธนาคารสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะจากการซื้อเข้ากิจการของกลุ่ม จีอี ในประเทศไทย ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อผ่อนชำระสินค้า และ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
"เราวางแผนขยายสินเชื่อ 6% เมื่อเดือนต.ค.ปีก่อนที่ GDP ยังเป็นบวก แต่ตอนนี้การสินเชื่อเราเป็น Flat แต่เราไม่ปรับเป้าหมาย แม้ว่า GDP ตอนนี้ติดลบ 3% ...เราพยายามหาสิ่งที่ทดแทนโดยเข้าซื้อกิจการเข้ามา ซึ่งเป็นข้อดีในภาวะนี้ เราจะเติบโตและมองหาโอกาสชดเชยกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวการขยายสินเชื่อ และมีโอกาสทำกำไรในการซื้อกิจการ" นายตัน กล่าว
ธนาคารคาดว่าหลังจากซื้อกิจการกลุ่มจีอีได้เรียบร้อย สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจะเพิ่มขึ้นเป็น 42% จาก 35%ในสิ้น มิ.ย.52 และ 32% จากไตรมาส 1/52 จากนั้นในอนาคตก็จะปรับสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยขึ้นมาให้ได้ 50% ตามแผนที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม คาดว่ากระบวนการซื้อกิจการกลุ่ม จีอี ประเทศไทยจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ ซึ่งจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ พอร์ตสินชื่อของกลุ่มจีอีฯ ให้อัตราผลตอบแทนสูงในอัตรา 20% ขึ้นไป และเท่าที่ได้เข้าตรวจสอบคุณภาพสินเทรัพย์ถือว่ายังดี และจะมีการตรวจสอบอีกครั้งก่อนจะเข้าซื้อโดยสมบูรณ์
นายตัน ยังกล่าวว่า ธนาคารยังมองหาโอกาสที่จะเข้าซื้อกิจการหรือสินทรัพย์ เพิ่มเติมในภาวะเศรษฐกิจแบบนี่ ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งช่วยขยายกิจการธนาคารได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดมากพอที่จะเปิดเผยได้
ขณะที่ในด้านการดูแลปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)นั้น ธนาคารมีเป้าหมายจะรักษาระดับ Gross NPL ณ สิ้นปี 52 ให้ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับ ณ สิ้นไตรมาส 2/52 ที่ 6.56% และคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)ทั้งปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 4% โดยหวังว่าครึ่งปีหลังอัตราดอกเบี้ยจะยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้
"มองว่าเราน่าจะควบคุม NPL ปีนี้ให้อยู่ในระดับคงที่จากครึ่งปีแรกที่เราทำได้ เรามองว่า ผ่านจดต่ำสุดแล้ว เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง และหากการเมืองของไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ไม่แพร่กระจายจนกระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก" นานตัน กล่าว
ทั้งนี้ จำนวนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ สิ้นมิ.ย. 52 อยู่ทีจำนวน 5.59 หมื่นล้านบาท เทียบกับสิ้นปี 51 ที่มีจำนวน NPL ที่ 5.51 หมื่นล้านบาท
และธนาคารได้เพิ่มอัตราส่วนการสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพมาอยู่ระดับ 65% จากเดิม 59% แม้ว่า NPL จะปรับขึ้นเล็กน้อย เพื่อสะท้อนมุมมองธนาคารที่เพิ่มความระมัดระวัง จากเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินเทรัพย์เสี่ยงที่ระดับ 15.9% อย่างไรก็ดี หลังการซื้อกิจการกลุ่มจีอี จะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงประมาณ 1-1.2% มาอยู่ที่ประมาณ 14.7%
นายตัน ยังประเมินว่าในช่วงนี้ถึงสิ้นปี 52 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ ที่ประมาณ 1.25% และอัตราดอกเบี้ยในตลาดก็จะทรงตัวเช่นกัน จึงคาดว่า NIM ของธนาคาจะอยู่ระดับ 4% จากครึ่งปีแรกมี NIM ที่ 3.77% และไตรมาส 2/52 NIM อยู่ที่ระดับ 3.98%
ปัจจุบัน จีอี มันนี่ ถือหุ้นใหญ่ใน BAY สัดส่วน 33% และกลุ่มรัตนรักษ์ ถือ 25%