นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม(TKT)กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในช่วงครึ่งหลังปี 2552 จะเติบโตขึ้น 20-30% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกที่ยอดขายลดลง 40% เนื่องจากสัญญานการกลับมาของยอดคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)จากลูกค้ารายเก่า และมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาเพิ่ม ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายใหม่อีก 4-5 ราย ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตอย่างมากในปีหน้าแล จากปีนี้ที่ยอมรับว่ารายได้และกำไรคงหนีไม่พ้นผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในเดือน มิ.ย-ก.ค.52 ลูกค้าเริ่มปรับแผนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในชิ้นส่วนพลาสติกรถยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งจากพานาโซนิค ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหม่ที่ได้มีการเจรจาตกลงที่จะสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทในไตรมาส 3 นี้โดยคาดว่าจะมีออเดอร์ประมาณปีละ 15-20 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/52 ประมาณ 1-2 ล้านบาท รวมทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจารับผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแบบใหม่ด้วย
อีกทั้งยังได้รับออเดอร์จาก บริษัท คาวาซากิ ซึ่งเป็นลูกค้าเดิมของบริษัทที่ออกรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ทำให้มียอดออร์เดอร์เข้ามาเพิ่มจากเฉลี่ยปีละ 20-30 ล้านบาท เป็น 40-50 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่เพิ่ม 4-5 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น ทั้งจากสต็อคเก่าหมดและจากปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมองว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับออเดอร์จากลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากบริษัทได้นำเสนอห้องพ่นสีชิ้นส่วนแบบคลีนรูมที่มีประสิทธิภาพสูงให้ลูกค้าพิจารณา ซึ่งห้องพ่นสีดังกล่าวถือเป็นการปรับกลยุทธของบริษัทในการเจาะตลาดระดับบนที่มีการแข่งขันน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าออเดอร์จากลูกค้าใหม่ในกลุ่มดังกล่าวจะเป็นการทยอยเข้ามา ซึ่งจะเริ่มเข้ามาในไตรมาส 3/52 จำนวน 1 ราย ในไตรมาส 4/52 อีก 1 ราย และที่เหลือจะเข้ามาในปีหน้า
นายจุมพล กล่าวว่า ห้องพ่นสีชิ้นส่วนแบบคลีนรูมนอกจากจะใช้ในการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกรถยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว ยังได้มีการนำมาใช้ในการผลิตแม่พิมพ์อุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงวิธีการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ใหม่เพื่อร่นระยะเวลาให้สั้นลงเหลือ 30-60 วันจากเดิม 45-90 วันเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ปัจจุบันพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปด้วยการหันมาออกรถรุ่นใหม่เร็วขึ้น
"การผลิตแม่พิมพ์อุตสาหกรรมดังกล่าวถือเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง บริษัทก็จะพยายามที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจดังกล่าวให้มากขึ้น โดยเฉพาะการหาลูกค้ารายใหม่"นายจุมพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องยอมรับว่าแม้จะเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง เนื่องจากผู้ผลิตยานยนต์มีแนวโน้มจะเพิ่มกำลังการผลิตก็ตาม แต่คงไม่ยังสามารถทำให้ผลการดำเนินงานในปี 52 มีทิศทางที่ดีขึ้นจากคาดการณ์ เพราะกว่ารับรู้รายได้จากลูกค้ารายใหม่เต็มที่คงจะต้องรอไปในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด
ส่วนในปีนี้บีริษัทยังเชื่อว่ารายได้และกำไรคงจะลดลงจากปีก่อน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกลูกค้าส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ไม่กล้าลงทุน รวมทั้งยอดผลิตรถยนต์โดยรวมลดลง จึงคาดว่าจะทำให้ยอดรายได้ของบริษัทลดลงมาที่ 850 ล้านบาท หรือต่ำลง 18% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 1 พันล้านบาท ขณะที่กำไรลดลงจากปีก่อนที่มีกำไร 41 ล้านบาท
"แม้ตอนนี้จะเริ่มมีสัญญานที่ดีขึ้นจากลูกค้าที่เข้ามาทั้งในชิ้นส่วนพลาสติกและชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่เราก็ไม่รู้ว่าการกลับมาจะยาวนานแค่ไหน และยั่งยืนหรือไม่ จึงทำให้เรายังมองว่าในปีนี้รายได้น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่ผมคาดหวังว่าจะเริ่มดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญปีหน้า และถ้าเราได้ลูกค้ารายใหม่ที่เราเจราจาอยู่ 4-5 รายก็อาจจะเห็นการลงทุน"นายจุมพล กล่าว
นายจุมพล กล่าวว่า การที่บริษัทปรับตัวและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งการปรับกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซอฟแวร์เพิ่ม หรือติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ การปรับลดกำลังคนและการลดการสูญเสีย ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)ในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ประมาณ 4% แม้ที่ผ่านมายอดขายจะลดลง
ส่วนความคืบหน้าในเรื่องการหาพันธมิตรนั้น บริษัทยังเปิดรับในทุกรูปแบบทั้งในแง่การเข้ามาร่วมทุน หรือ การเข้ามาช่วยเหลือด้าน Knowhow แต่ยังไม่คืบหน้า ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งรีบในตอนนี้ เนื่องจากบริษัทก็ยังเดินหน้าพัฒนาด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา