นายธงไชย แพรรังสี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชูไก(CRANE)ผู้ให้บริการเช่าจักรกลหนัก รวมถึงเครื่องจักรยกและเคลื่อนย้ายวัสดุ เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาขายรถเครนขนาด 600 ตัน มูลค่า 200 ล้านบาทให้กับลูกค้าสิงคโปร์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือน นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าต่างประเทศหลายรายติดต่อมาทั้งในรูปแบบการซื้อและเช่า ทั้งจากอินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมทั้ง กลุ่มตะวันออกกลางที่ต้องการรถเครนจำนวนมาก
แม้ว่าการจำหน่ายรถเครนเก่าให้กับลูกค้าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นทันตาเมื่อเทียบกับการให้เช่า แต่ก็จะต้องพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม และที่สำคัญ บริษัทจะต้องสามารถหารถเครนคันใหม่มาทดแทนได้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับธุรกิจในส่วนของการให้เช่ารถเครน เนื่องจากปริมาณงานก่อสร้างในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
"บริษัทเราเด่นการบริการรถเครนที่มีความสามารถในการยกสูง และความปลอดภัยจึ่งทำให้ CRANE เป็นที่ต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศต้องการรถเครนมาก แต่เราก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทุกราย เพราะถ้าเราขายแล้วหามาทดแทนไม่ได้ก็จะไม่คุ้ม แต่ในส่วนลูกค้าสิงคโปร์ความเป็นไปได้สูงคงจะดูที่ราคาที่ลูกค้าต่อรองว่ารับได้ไหม ถ้าเราขายก็จะทำให้ผลการดำเนินงานเราดีขึ้นทันที เพราะสินค้าเราขนาดใหญ่ราคาสูง"นายธงไชย กล่าว
นายธงไชย กล่าวว่า บริษัทยังไม่สามารถขายให้กับลูกค้าที่ต้องการรถเครนจำนวนมาก ๆ ได้ เพราะกังวลว่าจะไม่สามารถหารถใหม่มาชดเชยได้ทัน จำนวนรถเครนที่มีอยู่ในปัจจุบันใช้รองรับความต้องการในประเทศเป็นหลัก ขณะที่เริ่มมีสัญญาณการกลับมาของลูกค้าที่ค่อยๆ ดีขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จากช่วงก่อนหน้านี้ในไตรมาส 1/52 การขายรถเครนลดลงไปกว่า 30% เพราะลูกค้าไม่กล้าลงทุน ประกอบกับ การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็ยากขึ้นด้วย
"เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้นโดยเฉพาะในไตรมาส 2/52 คำสั่งซื้อรถเครนจากต่างประเทศก็เริ่มมีเข้ามา แต่บริษัทก็คงจะต้องประเมินให้รอบคอบ หากขายก็จะต้องสามารถหามาทดแทนด้วย ไม่เช่นนั้นไม่คุ้ม เพราะความต้องการภายในประเทศกลับมาทั้งลักษณะการเช่าและซื้อ ซึ่งหากให้เช่าในประเทศบริษัทจะสามารถรับงานได้มากขึ้น ขณะที่ขายต่างประเทศจะได้เพียงรายเดียว"นายธงไชย กล่าว
*คาดปลายปีมีกำไร ลดวงเงินลงทุนเหลือ 100 ลบ.
ปัจจุบันพบว่าธุรกิจภาคอุตสาหกรรมที่เป็นลูกค้าสำคัญของ CRANE ทั้งกลุ่มปิโตรเคมี โรงกลั่น โรงไฟฟ้า รวมถึงโรงผลิตเหล็ก กลับมาขยายตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งส่งผลในทางบวกต่อธุรกิจของ CRANE เพราะทำให้ธุรกรรมด้านการก่อสร้าง การขนส่ง และการซ่อมบำรุงโรงงาน ฟื้นตัวขึ้นด้วย แม้จะไปกระจุกตัวในครึ่งปีหลัง แต่ก็น่าจะทำให้ผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังดีขึ้น
ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่าปลายปีนี้คงไม่ขาดทุน จากไตรมาส 1/52 ที่ขาดทุนอยู่ 29.56 ล้านบาท ขณะที่รายได้คงจะใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้รวมกว่า 700 ล้านบาท
นายธงไชย กล่าวว่า ถึงแม้เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้นและผู้ประกอบการกล้าที่จะกลับมาดำเนินธุรกิจก็ตาม แต่บริษัทก็จะใช้ความระมัดระวังในการลงทุน โดยในปีนี้อาจจะเหลือเม็ดเงินในการซื้อรถเครนประมาณ 100 ล้านบาทจากปีก่อนที่ใช้เงิน 300-400 ล้านบาท แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องซื้อเพื่อชดเชยรถเก่าที่ขายออกไป รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการเก็บหนี้กับลูกค้า เช่น หากเป็นลูกค้าใหม่ก็จะต้องมีการวางเงินสดเพื่อความมั่นใจเพื่อรักษาสภาพคล่องและลดความเสี่ยง
ส่วนปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ไม่ถือว่ามีผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก เนื่องจากลูกค้าที่เช่ารถเครนระยะยาวจะเป็นผู้รับภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเอง ส่วน CRANE รับผิดชอบค่าใช้จ่ายน้ำมันกรณีเป็นการเช่ารายวัน และในประเด็นเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ถือว่าเป็นผลดีกับบริษัทฯ ในฐานะผู้นำเข้า เพราะทำให้ซื้อเครื่องจักรได้ในราคาที่ต่ำลง