ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 11.79 จุด หลังความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐอ่อนแอ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 29, 2009 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอของสหรัฐ และรายงานผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปิดลบไม่มากนัก ขณะที่ดัชนี Nasdaq สามารถปิดในแดนบวกได้ เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาสหรัฐเริ่มมีเสถียรภาพ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 11.79 จุด หรือ 0.13% แตะที่ 9,096.72 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 2.56 จุดหรือ 0.26% แตะที่ 979.62 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 7.62 จุด หรือ 0.39% แตะที่ 1,975.51 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.24 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 8 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.23 พันล้านหุ้น

จอห์น เมอร์ริล นักวิเคราะห์จาก Tanglewood Wealth Management กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลง หลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐดิ่งลงแตะระดับ 46.6 จุด จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 49.3 จุด และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 49 จุด

นอกจากนี้ นักลงทุนยังผิดหวังผลประกอบการของหลายบริษัท รวมถึงบริษัท ออฟฟิศ ดีโปท์ อิงค์ และบริษัท โคช เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการขาดกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้า ทำให้ยอดขายของบริษัททั้งสองหดตัวลงอย่างรุนแรง ขณะที่บริษัท แคนนอน อิงค์ รายงานผลกำไรไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2552 อยู่ที่ 3.34 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 84.5% จากปีก่อน จากยอดขายที่ร่วงลง 29.9% แตะ 1.48 ล้านล้านเยน ส่วนผลกำไรจากการดำเนินงานดิ่งลง 80.4% แตะ 6.49 หมื่นล้านเยน

บริษัท บีพี ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของยุโรป รายงานว่า ผลกำไรไตรมาส 2 ดิ่งลง 53% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกถดถอยได้ฉุดราคาพลังงานลดลงและทำให้ดีมานด์เชื้อเพลิงหดตัวลงด้วย ทั้งนี้ กำไรสุทธิไตรมาส 2 ของบีพี อยู่ที่ 4.39 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากระดับ 9.36 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยดัชนีราคาบ้านเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค.โดยเพิ่มขึ้นรายเดือนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาบ้านอาจจะเริ่มมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ ดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค. หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า ราคาบ้านจะลดลง 0.5% ในเดือนพ.ค. และเมื่อเทียบเป็นรายปี ราคาบ้านลดลง 17.1% ในเดือนพ.ค.ปีนี้ เมื่อเทียบกับที่ลดลง 18.1% ในเดือนพ.ค.ปี 2551

ส่วนยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 11% แตะที่ 384,000 ยูนิตต่อปี จากเดือนพ.ค.ที่ 346,000 ยูนิตต่อปี ส่วนราคากลางของบ้านอยู่ที่ 206,200 ดอลลาร์ ลดลง 12% จากปีที่แล้ว ทั้งนี้ แม้อัตราว่างงานจะยังพุ่งสูงขึ้น แต่ราคาบ้านที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับต่ำเริ่มดึงดูดผู้ซื้อให้หันมาซื้อบ้านมากขึ้น

หุ้นออฟฟิศ ดีโปท์ ปิดร่วง 18.1% หุ้นโคชปิดลบ 38 เซนต์ แตะที่ 28.05 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นเท็กซ์ตรอนปิดพุ่ง 17.6% หุ้นไอบีเอ็มปิดลบ 35 เซนต์ แตะที่ 117.28 ดอลลาร์ และหุ้นเอสพีเอสเอสปิดพุ่ง 40.9% ส่วนหุ้นสปรินท์ เน็กซ์เทล คอร์ป ปิดบวก 4 เซนต์ ปิดที่ 4.59 ดอลลาร์ และหุ้นเวอร์จิ้น โมบาย ปิดบวก 25.4%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ