บรรยากาศการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บมจ.เอส.อี.ซี.ซี.ออโต้เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส(SECC) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีผู้ถือหุ้นและตัวแทนผู้ถือหุ้นทยอยเดินทางเข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาวาระการคัดเลือกกรรมการชุดใหม่เพื่อเดินหน้าธุรกิจ เนื่องจากกรรมการส่วนใหญ่ลาออกไปหลังจากเกิดปัญหาการฉ้อโกงของอดีตผู้บริหาร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร(สห.) ร่วม 20 นาย กระจายอยู่บริเวณโดยรอบสถานที่จัดการประชุมโชว์รูมย่านพระราม 9 รวมทั้งตรวจค้นผู้ผ่านเข้าออกอย่างเข้มงวดด้วยเครื่องตรวจจับโลหะ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเคยมีคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธลอบปืนยิงถล่มเมื่อช่วงต้นปีนี้ ซึ่งตำรวจคาดว่าสาเหตุมาจากปมขัดแย้งทางธุรกิจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงการประชุมจึงแล้วเสร็จ โดยที่ประชุมได้คัดเลือกคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่อีก 7 คนเพื่อเข้ามาทำงานร่วมกับกรรมการเดิมที่ยังคงเหลืออยู่อีก 3 คนเรียบร้อยแล้ว
สำหรับกรรมการใหม่ 7 คน ประกอบด้วย นายสรรพพล รัตนรุ่งโรจน์, นางสาวยุพาวดี นาถประนิล, ว่าที่ร้อยตรี สมชาย อามีน, พลตำรวจตรี กำพล โกศลานันท์, นายภัทรคม เกษสำลี, นายสุรพันธ์ กันเขตต์ และนายลิขิต เทิดชนะกุล ส่วนผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานการประชุมในวันนี้ คือ นายมงคล รัตนวิชัย ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นเช่นกัน
นายกิตติมา สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด SECC กล่าวภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นว่า คาดว่าภายในระยะเวลา 1 เดือนน่าจะได้เห็นรูปร่างหน้าตาโครงสร้างของคณะกรรมการใหม่ว่าใครจะทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ และกรรมการฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งโครงสร้างคณะผู้บริหารของบริษัท โดยเฉพาะตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ รวมถึงคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อดำเนินงานตามเป้าหมายที่บริษัทจะกลับมาทำธุรกิจต่อไป
"เราตั้งเป้าหมายจะกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปให้ได้ แม้วันนี้จะมีปัญหาสภาพคล่องมีหนี้สินที่เกิดขึ้นกับซัพพลายเออร์ แต่เราก็ยังสามารถมีรายได้พอที่จะ cover ค่าใช้จ่ายโดยปัจจุบัน บริษัทมีรายได้จากการบริการซ่อม ประมาณ 7-8 ล้านบาท/เดือน" นายกิตติมา กล่าว
ขณะที่ทางบรรดาซัพพลายเออร์ด้านการขายรถ ก็พร้อมรอทำธุรกิจกับบริษัท และพร้อมดึงทีมงานด้านการขายระดับหัวกะทิกลับมาร่วมงานบางส่วนหลังจากที่ได้ลาออกไปแล้ว 100 กว่าคนเพราะไม่มีรถให้ขาย ทำให้ปัจจุบันบริษัทยังเหลือทีมงานฝ่ายขายอยู่ไม่ถึง 10 คน ขณะที่ศูนย์บริการและดีลเลอร์ก็ทยอยหมดสัญาไปและบางที่ดีลเลอร์ก็ขอถอนตัวไปเองทำให้ปัจจุบันเหลือที่เปิดดำเนินการอยู่เพียงอยู่ 2 แห่ง คือ พระราม 9 และพระราม 2 จากที่เคยมีอยู่ 6-7 สาขา
"ด้วยจุดแข็งของ SECC ที่ไม่เหมือนใคร คือ ประสบการณ์การนำเข้ารถหรูระดับพรีเมี่ยมมาจำหน่ายและการให้บริการจากช่างผู้เชี่ยวชาญมานานกว่า 17 ปี ซึ่งเมื่อไหร่ที่เรากลับมาขายรถได้เหมือนเดิม เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างที่รัฐบาลบอก ตัวเลขยอดขายรถยนต์ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ทำให้มั่นใจลูกค้าจะยังไว้วางใจ SECC เหมือนเดิม"นายกิตติมากล่าว
เมื่อถามถึงจำนวนรถในที่หายไปจากสต็อกของบริษัทนั้น นายกิตติมากล่าวเพียงว่า ต้องรอกรรมการตรวจสอบชุดใหม่มาตรวจสอบ เนื่องจากเวลานี้ไม่มีใครทราบว่ารถหายไปทั้งหมดกี่คัน และทั้งหมดหายไปอยู่ที่ไหนบ้าง
สำหรับการเข้าประมูลโครงการรถเมล์ NGV ที่อดีตผู้บริหารเคยริเริ่มไว้นั้น นายกิตติมา กล่าวว่า คงต้องขึ้นกับมติคณะกรรมการชุดใหม่พิจารณาว่าต้องการให้บริษัททำโครงการนี้ต่อไปหรือไม่ ขณะที่บริษัทยังมีความพร้อมทั้งทางโนฮาวและการดูแลรักษา
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการหายตัวไปของนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ทราบเพียงว่า มีผู้พบเห็นอยู่ในหลายๆ ที่ เช่น เกาะกง ฮ่องกง มาเก๊า ออสเตรเลีย และล่าสุดทราบข่าวว่าไปทำธุรกิจไวน์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่การที่ศาลออกหมายจับแบบนี้แล้วตัวแกอาจจะอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะอาจจะเผชิญปัญหาเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
ด้านนายกษิต เหมปราชญ์ ผู้ถือหุ้นรายย่อย SECC จำนวน 50,000 หุ้น กล่าวว่า ปัจจุบันถือหุ้นอยู่หลายบริษัท มีทั้ง PTT, PTTAR, PTTCH, TMB, TPIPL, IRPC ส่วนหุ้น SECC เพิ่งจะถือมาไม่ถึง 1 ปี เพราะซื้อก่อนที่จะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ไม่นาน ที่ซื้อเพราะส่วนตัวชื่นชอบบริษัทนี้เป็นทุนเดิม ที่มีประชุมวันนี้ก็ตั้งใจมาทราบข้อมูล อยากดูผลงานคณะกรรมการชุดใหม่ว่าจะแสดงผลงาน จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับบริษัทอย่างไร
"แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ผมก็อยากลุ้นให้บริษัทนี้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ และกลับมาทำธุรกิจได้เหมือนเดิม เพียงแต่ปัญหาเรื่องคดีความต่างๆ บริษัทคงต้องใช้เวลามากพอสมควรจึงจะกอบกู้ชื่อเสียงและภาพพจน์กลับมาเหมือนเดิม"นายกษิต กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"