นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 52 ลดลง 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.93 แสนล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรกยอดขายติดลบ 30% แต่บริษัทคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังนาจะดีขึ้นบ้าง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้นมาบ้างแล้ว และการผลักดันการใช้จ่ายภาครัฐน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน
นอกจากนั้น ยังมองว่าราคาปิโตรเคมีในไตรมาส 3/52 น่าจะยังดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2/52 เพราะซัพพลายใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มในตลาดโลกล่าช้าออกไป แต่ไตรมาส 4/52 อาจจะมีซัพพลายใหม่บางส่วนเข้ามาแล้ว ขณะที่รายได้จากธุรกิจซิเมนต์ในปีนี้อาจจะติดลบ 5-10 ตามภาพรวมอุตสาหกรรม
"ตอนนี้เรายังไม่มีการ review เป้าหมายยอดขายใหม่ แม้ว่าครึ่งปีแรกจะติดลบเกือบ 30% แต่เรายังคงเป้าทั้งปี ติดลบ 20-25% เพราะเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมี และ กระดาษจะดีต่อเนื่อง " นายกานต์ กล่าว
สำหรับธุรกิจปูนซิเมนต์ นายกานต์ คาดว่ายอดขายปีนี้จะลดลงจากปีก่อน 5-10% ซึ่งเป็นไปตามตลาดรวมในประเทศ แต่ถือว่าดีกว่าคาดการณ์เมื่อต้นปีที่มองว่าธุรกิจปูนซิเมนต์จะติดลบถึง 15% เพราะเชื่อว่าความต้องการใช้ปูนจะกลับมาดีขึ้นหลังจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเดินหน้า จะทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์เริ่มทยอยลงทุนจากก่อนหน้านี้ที่ยังไม่กล้าลงทุน
*โครงการเวียดนามเลื่อนไม่มีกำหนด/เจรจาควบรวม 3-4 ดีล
นายกานต์ กล่าวว่า โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามยังคงเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมากและระยะเวลาการลงทุนใช้เวลานาน
"ตอนนี้ Project ที่เวียดนามคงต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เพราะคงไม่มีสถาบันการเงินไหนปล่อยเงินกู้จำนวนมาก ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและกว่าจะแล้วเสร็จคงต้องใช้เวลานานมาก เพราะแค่ส่วนต่อขยายที่มาบตาพุดยั้งต้องใช้เวลาถึง 4 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ" นายกานต์ กล่าว
ส่วนโรงโอเลฟินส์ แห่งที่ 2 ที่มาบตาพุด จ.ระยองยังดำเนินการได้ตามแผน โดยจะทดสอบเดินเครื่องได้ในเดือนมี.ค. 53 และจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3 ปี 53 จะมีกำลังการผลิตใหม่ เพิ่มอีก 1.7 ล้านตัน จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.2 ล้านตัน โดยกำลังการผลิตใหม่ แบ่งเป็น เอทิลีน 9 แสนตัน และโพรพิลีน 8 แสนตัน
นายกานต์ ยังกล่าวถึงโอกาสที่บริษัทจะเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการในต่างประเทศว่า ขณะนี้ได้มีการเจรจาอยู่ 3-4 ดีล แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นธุรกิจใด เนื่องจากบางบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็เห็นโอกาสการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งคาดว่าปีหน้าน่าจะได้ข้อสรุปบางดีล
"การ M&A จำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาค่อนข้างนาน และที่ผ่านมาการเจรจาก็ไม่ประสบความสำเร็จ 2 ดีล ก็มีปัญหาทั้งสัดส่วนการถือหุ้นที่น้อยเกินไปและอำนาจการบริหาร จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่บริษัทจะสรุปดีล M&A ได้เร็ว เพราะว่าภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศในภูมิภาคเอเซียและภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่ยังมีอัตราการเติบโต หากเข้าไปซื้อคงไม่ได้ของถูกอย่างที่คาด"นายกานต์ กล่าว
บริษัทมีแผนจะออกเสนอขายหุ้นกู้อีก 1 หมื่นล้านบาทก่อนเดือน ต.ค.อายุหุ้นกู้ 4 ปี ซึ่งจะนำมาใช้ทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในช่วงดังกล่าว โดยปัจจุบันต้นทุนของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 5% การออกหุ้นกู้ล็อตนี้จะทำให้วงเงินหุ้นกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท และหลังจากนี้บริษัทจะไม่ออกหุ้นกู้จนกว่าจะถึงปีหน้า