บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) คาดว่า ในปี 52 ยอดขายในรูปเงินดอลลาร์เติบโต 5% ลดลงจากที่ตั้งเป้าไว้โต 10% ขณะที่ยอดขายในรูปเงินบาทจะโต 10% จากปีก่อน บนสมมติฐานที่เงินบาทอยู่ระดับไม่ต่ำกว่า 34 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่กำไรสุทธิในปีนี้จะดีขึ้นมากจากปีก่อนที่มีกำไร 2.2 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลงอย่างมาก ประกอบกับต้นทุนน้ำมันก็ลดลงเช่นกัน
บริษัทยังคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยคาดหวังจะเห็นกำไรสุทธิสูงกว่า 3 พันล้านบาท และมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา(EBITDA)เกินกว่า 5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะเริ่มรู้รายได้จากโรงงานที่รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐ ในเดือน ต.ค.52
"ครึ่งปีแรกเราได้เห็นกำไร 1.6 พันล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังตามฤดูกาลแล้วจะสูงกว่าครึ่งปีแรก และปี 53 ก็หวังว่าจะเห็น Net profit สูงกว่า 3 พันล้านบาท"นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร TUF กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังคงสามารถจ่ายเงินปันผลได้ 2 ครั้งสำหรับงวดปี 52 และจ่ายในอัตราที่สูงกว่าปีก่อน เนื่องจากรายได้และกำไรเติบโตขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 14-15% จาก 12.6% ในปี 51
โดยนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำ 50%ของกำไรสุทธิ และเป็นไปตามกำไรสุทธิที่บริษัทสามารถทำได้
"การปันผลก็ต้อง link กับการเติบโตของกำไรสุทธิ เท่าที่เห็นจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีที่แล้ว 60% ...และคิดว่าครึ่งปีแรกจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลดีเป็นประวัติการณ์" นายธีรพงษ์ กล่าว
ปี 51 บริษัทจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 1.26 บาท โดยจ่ายในครึ่งปีแรกที่อัตรา 0.56 บาท/หุ้น และครึ่งปีหลังจ่ย 0.70 บาท/หุ้น
สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนที่ 1.6 พันล้านบาท โดยเป็นการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ จำนวน 1.2 พันล้านบาท และอีก 400 ล้านบาท ใช้ลงทุนใหม่ที่โรงงานจอร์เจีย
ส่วนปีหน้าจะใช้งบลงทุน 1.8 พันล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนปกติ 1.2 พันล้านบาท อีก 600 ล้านบาทจะใช้สร้างห้องเย็นขนาด 4 หมื่นตันที่มหาชัย จ.สมุทรสาคร โดยได้ซื้อที่ดินขนาด 160 ไร่ ทั้งนี้มูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท โดยจะทยอยลงทุน ในปี 53-54
ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้คงไม่มีข้อสรุปซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่อง เนื่องจากขณะนี้ กิจการที่เกี่ยวเนื่องของบริษัทอื่น ยังเติบโตได้ดี จึงเป็นเรื่องยากที่บริษัทจะเข้าซื้อ อย่างไรก็ตาม ยังมองหาโอกาสในการลงทุนต่อไปเพื้อเป็นช่องทางในการเติบโตต่อไป