นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตรีลอินดัสทรีส์ (MILL) คาดว่า Taiwan Depositary Receipt (TDR) ของบริษัทจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้นจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไต้หวันในปลายปีนี้ ระหว่างนี้อยู่ขั้นตอนการยื่นไฟลิ่งกับ ก.ล.ต.ของไต้หวัน คาดใช้เวลา 3-4 เดือน
การออกใบแทนหลักทรัพย์โดยมีหุ้นของบริษัทเป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Depositary Receipt) ซึ่ง MILL ได้นำหุ้นเดิมมาแปลงเป็น TDR ไม่เกิน 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 17.45% ของทุนชำระแล้ว เพราะมองว่าตลาดหุ้นไต้หวันมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทย ทำให้เกิดสภาพคล่องการซื้อขายได้ดีกว่า อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางระดมทุนขยายกิจการได้ในอนาคตด้วย
"เราเข้าไปเทรดในตลาดหุ้นไต้หวัน เพราะเราต้องการโกอินเตอร์ และตลาดบ้านเข้ามีสภาพคล่องดีกว่าบ่านเรา...ถือว่าเราเป็นบริษัทสัญชาติไทยแรกที่เข้าไปเทรดในตลาดไต้หวัน"นายสิทธิชัย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์
นายสิทธิชัย กล่าวว่า เบื้องต้นเรานำหุ้นเดิมไปแปลงสภาพเป็น TDR ซึ่งเป็นตราสารทุน เพื่อชิมลางไปก่อน หากได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทก็อาจจะเพิ่มทุนใหม่เพิ่มเติมก็ได้ โดยคาดว่า TDR ของบริษัทจะเทรดอยู่ในเหมวด construction material
ด้านการเจรจาหาพันธมิตรต่างชาติ นายสิทธิชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีการเจรจากันอยู่ 2-3 ราย แต่บริษัทไม่ได้รีบร้อนในเรื่องนี้ แต่ต้องการหาพันธมิตรที่ก่อให้เกิดประโยชน์ (synergy)ได้ดีที่สุด และการที่บริษัทค่อยๆศึกษาพันธมิตรเพื่อทำให้ธุรกิจดีขึ้น
"นโยบายของบริษัทเราเปิดประตูอ้าแขนรับอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราอยู่ระหว่างพูดคุยทำความรู้จักหลายๆเจ้าอยู่ คืออะไรที่สร้างผลประโยชน์ให้กับบริษัทได้ ในแง่การเงิน หรือการตลาดก็ตาม เราก็ยินดี ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย อิตาลี หรือ ฝรั่งเศส เรารับหมด ที่คุยกันจริงจังก็มีอยู่ 2-3 ราย" นายสิทธิชัย กล่าว
*คาดปี 52 รายได้ทรงตัวจากปีก่อน
นายสิทธิชัย คาดว่า รายได้ของ MILL ในปี 52 จะออกมาใกล้เคียงกับปีก่อนที่มี 9.4 พันล้านบาท เนื่องจากราคาเหล็กปีนี้ยังคาดว่าต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ยประมาณ 30 บาท/กก.โดยขึ้นไปสูงสุดที่ราว 40 บาท/กก. แต่ในไตรมาส 2/52 ราคาเหล็กเริ่มฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 20 บาท/กก.จากต้นปีที่ร่วงลงไปต่ำกว่านั้น และคาดว่าในช่วงครี่งปีหลังราคาคงทรงตัวหรือขยับขึ้นบ้าง
ทั้งนี้ ราคาเหล็กขึ้นมาจากสิ้นปีก่อนมาประมาณ 20% และราคาในไตรมาส 2/52 เริ่มนิ่ง ยืนอยู่ประมาณ 20 บาท/กก.และคาดว่าแนวโน้มครึ่งปีหลัง ราคาเหล็กอาจขยับขึ้นมาอีกเล็กน้อย เนื่องจากโครงการใหญ่ ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าก็เริ่มออกมาชัดเจน รัฐบาลเองก็สนับสนุนให้การลงทุนโครงการต่างๆ รวมทั้งการขยายโครงการต่างๆ ทำให้มีกิจกรรมการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยดีมานด์ คำสังซื้อ และราคาเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้บริษัทบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น ไม่ผันผวนมากเหมือนปีที่แล้ว
"ยอดขายเราพยายาม maintain ให้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ถึงแม้ว่าราคาเหล็กจะลดลงจากปีก่อนก็ตาม งบเราก็รวมกับบริษัท บีอาร์พี สตีล(บริษัทย้อย) เราได้กระจายสินค้าเพิ่มขึ้น ตุ้นทุนก็ต่ำลง ก็คิดว่าปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่แล้วก็เป็นไปได้"นายสิทธิชัย กล่าว
ครึ่งปีแรก บริษัทมีปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปีก่อน ทั้งนี้ ก็คาดว่าทั้งปีจะมีปริมาณผลิตเพิ่มราว 10% โดยคาดหวังว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกล้เคียงกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับ 8-10%