บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN)ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องสนองความต้องการระดับกลางและล่างที่ยังไปได้สวย วางแผนรอรับรู้รายได้ยาวช่วงปี 53-54 ขณะที่ปีนี้ยังเป็นไปตามแผน สัปดาห์นี้ลุ้นเงินปันผลระหว่างกาลในปี 52 คาดว่าจะมากกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 0.14 บาท จากผลประกอบการที่ดีขึ้น
ครึ่งปีหลังคาดว่ายอดขายทำเพิ่มเป็น 5.5 พันล้านบาทจาก 4.5 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งปีทำได้ตามเป้าที่ 1 หมื่นล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 8 พันล้านบาท และยังเหลือยอดขายรอโอน(Backlog) อีก 4.5 พันล้านบาทไปรับรู้ในปีหน้าจากผลเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทำให้ยอดรับรู้รายได้ปี 53 น่าจะเพิ่มเป็นกว่า 9 พันล้านบาท
แหล่งข่าวจากหนึ่งในกรรมการ LPN เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท คาดว่าจะมีการนำเสนอเรื่องการจ่ายเงินปันผล คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 52 ได้มากกว่าช่วงเดียวกันขอองปีก่อน รวมทั้งเงินปันผลทั้งปีคาดว่าจะมากกว่าปีก่อนด้วยที่จ่ายในอัตรา 0.41 บาท เนื่องจากยอดขายในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น
*เชื่อยอดขายทำได้ตามเป้า 1 หมื่นลบ.ดันยอดรับรู้ปี 53 โต
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPNเปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในครึ่งหลังปี 52 จะอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกที่มียอดขาย 4.5 พันล้านบาท ก็จะเป็นไปตามเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้ปีนี้ยังคาดว่าอยู่ที่ 8 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 7.2 พันล้านบาท และยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 30%
ผลตอบรับจากจากลูกค้าที่เข้ามาจองโครงการใหม่ที่บริษัทเปิดตัวไปในช่วงกลางปีนี้มีปริมาณที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการลุมพีนี คอนโดทาวน์ รามอินทรา-นวมินทร์ รวมทั้ง โครงการ ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว ที่เปิดขายในเดือน ก.ค ที่ผ่านมา มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายในครึ่งปีหลังและปีหน้า
ประกอบกับ การที่บริษัทมี Backlog ทั้งหมด 8.5 พันล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้ 4 พันล้านบาท และอีกจำนวน 4.5 พันล้านบาทในปีหน้า ซึ่งทำให้บริษัทไม่ต้องเหนื่อยมากในปีหน้า
"ผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง เป็นเพราะการที่เราได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานตั้งแต่กลางปี 2551 ที่ผ่านมา ที่เห็นสภาพไม่ดี แต่ตอนนี้เรามั่นใจด้วยจากคนที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมโครงการเพิ่มขึ้น ส่วนที่คาดการณ์กันว่าตลาดคอนโดฯจะไม่รุ่งในปีนี้ แต่ผมว่ามันยังไปได้ เพราะเท่าที่ผมดูคนก็ยังเข้ามาจองต่อเนื่องและด้วยภายใต้ราคาที่สมเหตุสมผล" นายโอภาส กล่าว
นายโอภาส กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีโครงการที่พัฒนารอรับรู้รายได้ในอนาคตแล้วทำให้ประเมินยอดรับรู้รายได้เบื้องต้นในปี 53 ที่ประมาณ 9 พันกว่าล้านบาท เพราะเชื่อว่าที่ดินที่บริษัทมีอยู่ยังสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าระดับกลาง-ล่างที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีอยู่จำนวนมาก ประกอบกับจุดแข็งในด้านการก่อสร้างที่เร็วทำให้ได้เปรียบรายอื่น แต่ขณะเดียวกันก็จะต้องระมัดระวังเพราะบริษัทเป็นการขายก่อนสร้างก็ต้องระมัดระวังและรอบคอบ
*ครึ่งหลังเปิด 2 โครงการใหม่ รอรับรู้ในปี 54
นายโอภาส กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 6 พันล้านบาท บริษัทยังคงเดินหน้าในการพัฒนาโครงการ แต่จะเป็นการพัฒนาเพื่อรองรับผลการดำเนินงานในปี 54
ทั้งนี้ ได้แก่ โครงการ"ลุมพินี วิลล์ ปิ่นเกล้า"ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 3.2 -3.4 พันล้านบาท บริษัทจะมีการปรับวิธีในการเสนอขายเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มในโครงการนี้ ด้วยการแบ่งที่ดินมาทำเป็นสวนจำนวน 5 ไร่ มูลค่า 40-50 ล้านบาทจากเนื้อพื้นที่ทั้งหมด 100 กว่าไร่ และจะพัฒนาสวนให้เสร็จก่อนที่จะขายด้วย ซึ่งจากการปรับอาจจะส่งผลต่อการเลื่อนเปิดขายออกไปในไตรมาส 4/52 จากเดิมที่จะเปิดขายในไตรมาส 3/52
ส่วนอีกโครงการ คือ "ลุมพีนี เพลส พระราม 9" เฟส 2 คาดว่าจะเปิดขายช่วงปลายไตรมาส 3/52 มูลค่าโครงการ 2.6 พันล้านบาท และอีก 1 โครงการจะเป็นลักษณะไพล็อตโปรเจคมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาทบริษัทจะประเมินสถานการณ์สภาพตลาดและต้นทุนค่าก่อสร้างอีกครั้ง
อนึ่ง บริษัทได้เปิด 3 โครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 2/52 และไตรมาส 3/52 ย่านนวมินทร์ ราษฎร์บูรณะ และ ปิ่นเกล้า มูลค่า 6,000 ล้านบาท