(เพิ่มเติม) CGS ตั้งเป้า Q3 มาร์เก็ตแชร์ 8% หลังกวาดมาร์เก็ตติ้งเพียบ, ลุ้นจ่ายปันผลปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 4, 2009 10:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS)กวาดมาร์เก็ตติ้งเข้าพอร์ตแล้ว 600 ชีวิต หวังดันมาร์เก็ตแชร์พุ่งพรวดเป็น 8% ภายในไตรมาส 3/52 จากต้นปีที่อยู่ในระดับ 2% และยังเดินหน้าดึงผู้บริหารมือดี BSEC พร้อมทีมเข้ามาเสริมอีก รวมทั้งดึงลูกค้าต่างประเทศเข้าเทรดขยายสัดส่วนสถาบันเป็น 25% ล้างภาพโบรกฯ หุ้นปั่น ปีนี้ลุ้นจ่ายเงินปันผลหลังเคลียร์ขาดทุนสะสมได้หมด คาดสรุปซื้อโบรกฯสิงคโปร์ก่อนสิ้นปี

นายบี เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS คาดว่า ในไตรมาส 3/52 ส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 8% จากปัจจุบันมีอยู่ 6-7% และต้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2% เนื่องจากบริษัทได้ทีมมาร์เก็ตติ้งจาก บล.ฟาร์อีสท์เข้ามาเสริมทีม ประมาณ 30-40 คน จากก่อนหน้าบริษัทได้เพิ่มทีมมาร์เก็ตติ้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน บริษัทมีทีมมาร์เก็ตติ้งราว 600 คน ถือว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีมาร์เก็ตติ้งสูงสุด ดังนั้น บริษัทจะใช้ทีมมาร์เก็ตติ้งเพื่อเข้ามาสร้างรายได้ จากปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยให้บริษัทสามารถพลิกมาเป็นกำไรได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ภายใต้ปริมาณการซื้อขายที่ขณะนี้มีทิศทางดีขึ้น

ขณะที่แหล่งข่าววงในจาก CGS เปิดเผยว่า ภายในเดือนนี้นายเดชา แปงคำ กรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท(BSEC)จะย้ายเข้ามาทำงานกับ CGS พร้อมกับทีมงานมาร์เก็ตติ้งอีกราว 30-40 คน ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 320 ล้านบาท หรือคิดเป็นมาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้นราว 1% คิดจากวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันที่ 1.6 หมื่นล้านบาท

นายบี กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุนสถาบันที่สนใจจะเข้ามาซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทมีจำนวน 7 ราย จากสิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย สหรัฐ และ จีน โดยคาดว่านักลงทุนเหล่านี้จะเข้ามาเทรดใน 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังติดตั้งระบบรองรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าว การเข้ามาเทรดผ่านบริษัทก็ทำให้สัดส่วนนักลงทุนสถาบับของบริษัทเพิ่มมาเป็น 25% จากปัจจุบัน 5%

"ผมเชื่อว่าหลังจากนี้ ทุกคนจะไม่เห็นภาพว่าผมเป็นโบรกฯ หุ้นปั่น เพราะการที่ผมมีรายย่อย 10% ของจำนวนรายย่อยตลาดทั้งหมดที่มีอยู่ 4 แสนบัญชี และด้วยความพยายามพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่นอกเหนือนายหน้าค้าหุ้น ซึ่งขณะนี้เขาก็อยู่ระหว่างการเตรียมรูปแบบการลงทุน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกได้หลายรูปแบบ ตรงนี้ทำให้เราลบภาพที่คนเขามองกัน" นายบี กล่าว

ส่วนความคืบหน้าการเข้าซื้อโบรกเกอร์สิงคโปร์อาจจะเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมที่ 2 เดือนข้างหน้า แต่ก็ยังคาดว่าจะสรุปภายในปลายปีนี้ เนื่องจากการเจรจาราคาได้ปรับสูงขึ้น เพราะหลังธุรกิจหลักทรัพย์มีแนโน้มปรับตัวดีขึ้น

ด้านนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานอำนวยการ CGS กล่าวว่า บริษัทมีแผนเข้าซื้อสาขาของบล.บีฟิท (BSEC) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ สีลม ปิ่นเกล้า บางบัวทอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบทรัพย์สินและเสนอราคา โดยคาดใช้เงินลงทุนสาขาละ 1 -2 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งปีหลังนี้ ขณะที่สินทรัพย์ของทั้งทั้ง 3 แห่ง พบว่า มีทรัพย์สินรวมกันประมาณ 5-7 ล้านบาท ซึ่งหากได้ทั้ง 3 สาขาดังกล่าวจะทำให้ CGS มีสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 42 แห่ง

*สภาพคล่องเริ่มดีหลังขายหุ้นเพิ่มทุน-ออกวอแรนท์

นายบี คาดว่า บริษัทจะได้เงินจากหุ้นเพิ่มทุน(RO) จำนวน 606 ล้านบาทราวไตรมาส 3/52 ซึ่งจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการพัฒนาสินค้า และรองรับปริมาณการซื้อขายที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนั้น บริษัทยังมีเงินที่จากการใช้สิทธิใบสำคัญสิทธิ รุ่นที่ 5 ที่ประเมินว่าจะได้เงินเข้ามาอีกประมาณ 800 ล้านบาท และการใช้สิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทตามโครงการ ESOP ที่จะทยอยเข้ามาใน 3 ปีข้างหน้า จะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องมากขึ้น

ทั้งนี้ นายบี ยอมรับว่า ราคาหุ้นในกระดาน 1.30 บาทในขณะนี้สูงกว่าราคาใช้สิทธิ ที่อาจจะทำให้นักลงทุนใช้สิทธิไม่มาก แต่ก็อยากให้ดูผลประกอบการไตรมาส 2/52 ที่จะประกาศออกมา และปริมาณการซื้อขายของบริษัทเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับเดิม ช่วงนี้อาจเป็นแรงจูงใจของคนที่จะเข้ามาใช้สิทธิ

"การที่เราลดทุนและมาเพิ่มทุนก็เพื่อล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ และ เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทด้วย และผมก็มั่นใจว่าจากทุกอย่างที่ดีขึ้น น่าจะทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ จากที่นานมาแล้วไม่เคยจ่าย" นายบี กล่าว

ก่อนหน้านี้ บริษัทขาดทุนติดต่อกันอย่างน้อย 4 ปี โดยปี 51 มีผลขาดทุน 319.9 ล้านบาท และไตรมาสแรกนี้มีผลขาดทุน 70.29 ล้านบาท

อนึ่ง คณะกรรมการบริษัท ได้ลดทุนจาก 2.3 พันล้านบาท เหลือ 1.86 พันล้านบาท จากนั้นเพิ่มทุนเป็น 3.45 พันล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ 1.28 พันล้านหุ้นขายผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.30 บาท ส่วน วอรแรนท์แจกฟรีให้ผูถือหุ้น โดยกำหนดราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นละ 2.00 บาท



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ