นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก(GLOBLEX) เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็น 3% จากในเดือน ก.ค.ที่มีสัดส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2.4%
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาด้านวาณิชธนกิจ หลังตั้งฝ่ายวาณิชธนกิจเมื่อเดือน มิ.ย.52 ซึ่งขณะนี้บริษัทได้รับความไว้วางใจในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบริษัท วุฒิศักดิ์คลีนิคเวชกรรม จำกัด โดยคาดว่าจะยื่นเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในต้นปี 53
การระดมทุนครั้งนี้เพื่อรองรับการขยายงานของ วุฒิศักดิ์คลีนิคฯ และพัฒนาคุณภาพการรักษาและให้บริการเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน วุฒิศักดิ์คลีนิคฯ มีสาขามากกว่า 50 สาขา และมีผู้ชำนาญกว่า 800 คน และมีทีมแพทย์กว่า 80 คน
"หลังจากทีมของผมเข้ามาทำงานที่บล.โกลเบล็ก ก็มีการกระจายรายได้ไปยังธุรกิจอนุพันธ์ ธุรกิจไอบี นอกจากรายได้จากนายหน้า และปีนี้น่าจะเห็นรายได้จาก IPO 1-2 ดีล"นายชนะชัย กล่าว
สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจปีนี้คาดว่าจะร่วมจัดจำหน่ายหุ้นบมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) และเป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นบริษัทร่วมค้าไทย-มาเลเซียที่ทำธุรกิจผลิตน้ำยางพารา ซึ่งคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ประมาณไตรมาส 4/52
นอกจากนี้ ยังมีดีลที่ปรึกษาทางการเงินที่มาจากบล.ซีมิโก้ (ZMICO) อีก 6-7 ดีล แต่คาดว่าจะเป็นปี 53 ที่จะเห็นความชัดเจนในการเข้าจดทะเบียนในตลาด เพราะภาวะน่าจะเหมาะสมมากกว่า
ส่วนพอร์ตลงทุนปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตลงทุน 300 ล้านบาท ซึ่งลงทุนทั้งหุ้นและตราสารการเงินอื่นๆ ปัจจุบันมีการลงทุนประมาณ 30-50 ล้านบาท
นายชนะชัย กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างรอให้ ก.ล.ต.ตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัทว่าทับซ้อนกับบริษัทแม่ คือ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) หรือไม่ หากไม่มีปัญหาทับซ้อน และ ผลประกอบการของบริษัทในปี 52 ออกมามีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทตามเป้าหมาย ก็น่าจะทำให้บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในต้นปี 53 เพื่อนำเงินมาทำธุรกรรมและเพิ่มสินค้าพื่อสร้างรายได้ทดแทนการพึ่งพารายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์เป็นหลัก
ด้านกระแสข่าวที่ว่า บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)(UOBKH)เข้ามาเก็บหุ้นของบริษัทผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายชนะชัย กล่าวว่า หลังจากการปิดสมุดทะเบียนล่าสุดไม่พบความผิดปกติ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังถือหุ้นเกินกว่า 50% รวมทั้งบริษัทไม่เคยได้รับการติดต่อพูดคุยจากทาง บล.ยูโอบีฯ เลย ไม่เหมือนกับกรณีที่ UOBKH เป็นข่าวกับ บล.บีฟิท(BSEC)
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ปิดกั้นตัวเองในการที่จะมีพันธมิตร หากสามารถช่วยเสริมสร้างธุรกิจให้ดีขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือกับโบรกเกอร์ที่มีกลุ่มลูกค้าสถาบันที่บริษัทยังมีจุดอ่อนในส่วนนี้ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นรายย่อย